โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 บนชั้น 2 ของศาลฯ ได้มีการสืบพยานโจทก์คดี นายเปรมชัย กรรสูต กับพวก มีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะที่พิจารณาพิพากษาคดีทั้งหมด 3 ท่าน ต่อมากรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยื่นคำร้องให้จำเลยทั้งสี่ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 12,750,000 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ และศาลกำหนดให้จำเลยทั้งสี่ ยื่นคำให้การแก้คดีเป็นหนังสือภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2561
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลเห็นว่าคดีนี้มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 ปี และจำเลยที่ 1 มีทนายความแล้ว ศาลอนุญาตให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทวิ (1)
หลังจากนั้น อัยการโจทก์ นำพยานปาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เข้าเบิกความเป็นปากแรก และอัยการโจทก์นำ นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก เข้าเบิกความเป็นปากที่ 2 ซึ่งถือเป็นพยานสำคัญในคดี
ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ในฐานะพยานโจทก์ ได้เดินลงมาจากห้องพิจารณาคดี ก่อนจะเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ในขั้นตอนการสืบพยานในชั้นศาล ไม่สามารถนำรายละเอียดมาเปิดเผยได้ เพราะจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลได้ ซึ่งตนมาในฐานะพยานโจทก์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามที่ ตร.กำหนด ตามคำสั่ง คสช. ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ได้ตราไว้ ทั้งนี้ตนมั่นใจว่าอัยการจะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถเอาผิดกับผู้กระทำผิดตามที่ยื่นฟ้องไปได้ โดยฝากให้ประชาชนได้เฝ้าติดตามคดีนี้ด้วย ซึ่งหลังจากตนเบิกความแล้วเสร็จ ศาลได้กำชับทิ้งท้ายด้วยว่า ให้คุมพยานในส่วนของตำรวจมาศาลให้ครบถ้วน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของทางตำรวจที่จะต้องนำพยานขึ้นมาสืบอยู่แล้ว
จากนั้นเวลาประมาณ 12.00 น. ทีมพนักงานอัยการ และ นายวิเชียร พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม รวมทั้ง นายยุทธชัย ปัทมสนธิ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 และคณะ ได้เดินลงจากห้องพิจารณาคดี เพื่อออกไปพักเที่ยง และจะกลับเข้ามาเบิกความ นายวิเชียร ต่อในช่วงบ่ายอีกครั้ง ขณะที่ นายเปรมชัย และพวก พร้อมทีมทนายความ ขณะนี้ยังคงอยู่ภายในศาล