ล่าสุดเฟซบุ๊กแฟนเพจของ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ได้โพสต์ข้อความถึงภาพยนตร์ดังกล่าวนี้ โดยระบุว่า
พระเชียงบวชไม่กี่วันแล้วร้องไห้นี่ ธรรมดามากนะ ในสมัยพุทธกาล ภิกษุณีรูปหนึ่งที่เป็นแม่ของพระกุมารกัสสปะ เธอบวชมาถึง ๑๒ ปี ในคัมภีร์บอกว่า ไม่มีวันไหนเลย ที่เธอจะไม่มีน้ำตาเพราะคิดถึงลูก
คนเข้าไม่ถึงศาสนา ไม่เข้าใจเรื่องนี้ การแสดงออกทางอารมณ์ในบางอย่าง มันเป็นตัวสะท้อนความทุกข์ของคนนะ แล้วความทุกข์มันไม่ได้แบ่งแยกว่า ต้องมีเฉพาะชาวบ้าน นักบวชมีไม่ได้ อันนี้เข้าใจผิดหมดเลย
คำว่าตัดทางโลก ไม่ได้หมายถึงว่า ตัดอารมณ์ความรู้สึกที่มนุษย์จะพึงมีทั้งหมดได้ ไม่ใช่ว่าดับทุกข์สิ้นเชิงได้ พระโสดาบัน ยังร้องไห้นะ พระสกทาคามี ยังมีความโกรธ (แม้จะเบาบาง)
การมองภาพของนักบวชแบบผิดผิด หรือเข้าใจในมิติเดียว หลายครั้งก็สร้างปัญหานะ มีนักปฎิบัติธรรมหลายคนฆ่าตัวตาย ทั้งแม่ชี ทั้งพระ ส่วนหนึ่งมาจากความเครียดความเก็บกดและการไม่สามารถเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกในด้านลบซึ่งความทุกข์ภายในใจของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาได้
ภาพของพระเชียงนี่เป็นตัวอย่างของพระที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองนะ มันสะท้อนความเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะแบบไหน มันไม่ใช่ว่า เราจะสามารถหนีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด หนีปัญหาหนีความทุกข์ของตัวเองได้ น้ำตานั่นแหล่ะที่เป็นเครื่องบ่งบอก อย่างน้อยมันก็เป็นตัวแทนถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจ
เราจะรับรู้และเข้าใจถึงความทุกข์ของคนอื่นได้ยังไง ถ้าเรามองข้ามอารมณ์ความรู้สึกที่อ่อนไหวของเขา