svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"พลังประชารัฐ"อุบชง"ประยุทธ์-สมคิด"ชิง"นายกฯ"ถามไม่คิดว่าเขาไม่เอาบ้างหรือ

21 ตุลาคม 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"สนธิรัตน์" อุบ "พปชร." ชง ชื่อ "ประยุทธ์-สมคิด" ชิง "นายกฯ" บอก อย่าเดาใจใคร ถ้าไม่ตอบรับก็เป็นไม่ได้ บอกหลัง "เลือกตั้ง" ได้ รบ.ผสม พร้อมจับมือทุกพรรค ปัด ทุ่มงบหมื่นล้านลุย "เลือกตั้ง"

เมื่อวันที่ 21 ต.ค.61 เวลา 11.30 น. ที่เลมอน มี ฟาร์ม อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ว่าที่เลขาธิการพรรคประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนในการเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.เป็นนายกฯในนามพรรคว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาพรรคยังอยู่ในกระบวนการจดจัดตั้ง ยังมีเวลา ยังไม่ถึงตรงนั้นเลย และยังไม่ทราบว่าเมื่อถึงตอนนั้นใครจะยอมรับให้พรรคเสนอชื่อบ้าง ยังมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอน

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวผู้ใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ ไม่อยากได้สามมิตรเข้าร่วมพรรคแล้ว นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยในเรื่องนี้ กระแสข่าวมีอยู่ทุกวัน สื่อไปให้ความสำคัญกับกลุ่มสามมิตร ความจริงไม่ใช่ยังมีกลุ่มต่างๆอีกมากมายที่มีการพูดคุยกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเลย เรากำลังรอเป็นพรรคที่สมบูรณ์ ถึงจะเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในส่วนนี้ แต่การพูดคุยโดยทั่วไปก็ว่ากันไป เพราะรู้จักกันก็พูดคุย.


เมื่อถามว่า หากกคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)รับรองเป็นพรรคพลังประชารัฐแล้วจะดำเนินการเรื่องใดก่อน นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคจะเร่งประชุมตามขั้นตอน ทั้งการตั้งสาขาพรรคตามภาคต่างๆ การเร่งรัดคัดเลือกผู้สมัคร รวมถึงเปิดรับสมาชิกพรรค และการเร่งทำนโยบาย 

เมื่อถามอีกว่า กรณีที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว่าที่รองหัวหน้าพรรคฯ ระบุว่า 4 รัฐมนตรีของพรรคจะพิจารณาลาออกเมื่อกกต.รับรองความเป็นพรรคการเมืองแล้ว นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เราพูดคุยกันอยู่แล้วเมื่อถึงเวลาที่สมควร อย่างที่เห็นช่วงเวลานี้เราเน้นการทำงาน ส่วนเรื่องจะลาออก จะอยู่หรือไปนั้น ต้องถามกลับว่า เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนมากน้อยแค่ไหนอย่างไร  ไม่ว่าจะอยู่หรือไป ตรงไหนที่เป็นประโยชน์เราเน้นตรงนั้นเป็นหัวใจในการตัดสินใจ จึงไม่อยากให้กังวลใจว่าจะลาออกเมื่อไหร่อย่างไร เรามีคำตอบของเราอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาก็จะบอก เรารู้ว่าเมื่อไหร่คือเวลาที่เหมาะสมและสมควร แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลานั้นเราทุ่มเทเต็มที่ในการทำหน้าที่ของเรา ทั้งนี้ ตอนนี้เราเห็นปัญหาหนักหลายอย่างที่จำเป็นต้องทำงานหนักในช่วงนี้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ช่วงนี้ขอเวลาทำงานนิดหนึ่ง 

เมื่อถามว่า กดดันต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ก็น้อมรับเสียงวิจารณ์ ยินดีรับฟังเสมอ ดูธรรมเนียมปฏิบัติที่เหมาะสม และดูพฤตินัยของตัวเราเองด้วย


เมื่อถามว่า การลงพื้นที่ครม.สัญจร จ.พะเยา-เชียงราย วันที่ 29-30 ต.ค.นี้ จะเป็นอุปสรรคหรือเงื่อนไขต่อการทำงานของ 4 รัฐมนตรีหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ก็ถือเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีจะต้องไปร่วมประชุมครม.สัญจร ส่วนการลงพื้นที่ต้องเป็นการทำในหน้าที่จริงๆ ไม่ได้ไปอยู่ในแนวทางของการหาเสียง ทั้ง 4 รัฐมนตรีก็ต้องเลือกงานที่จะลงพื้นที่ และงานนั้นต้องชัดเจนว่าเป็นงานในหน้าที่ ไม่หมิ่นเหม่ให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเราใช้อำนาจหน้าที่ไปทำให้เกิดประโยชน์ต่อพรรค ขอให้สบายใจ ขอให้ติดตามพฤติกรรมของพวกตนเถอะ และที่ผ่านมา หลังจากเปิดตัวพรรคเมื่อวันที่ 29ก.ย. พวกตนได้ทำอะไรที่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับพรรคหรือไม่ มีแต่เราทำงานหนักขึ้น เพราะทราบดีว่าเป็นที่จับจ้องของสังคม 
 เมื่อถามว่า พปชร.จะจับมือกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ร่วมก่อตั้งหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรายินดีจับมือกับทุกพรรคการเมือง อยู่ที่ว่าพรรคเมืองอื่นต่างๆ จะจับมือกับเราหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็จะได้รัฐบาลผสมอยู่แล้ว  ถ้าบอกว่าไม่จับมือ ก็จะเหมือนกับโกหก การจะจับมือกับพรรคการเมืองใดนั้น เราต้องดูว่าอุดมการณ์ แนวทางการบริหารประเทศ นโยบาย ว่าตรงกันหรือไม่ ตนยินดีจับมือกับทุกพรรค ไม่เคยรังเกียจพรรคใด แต่ก็ไม่ทราบว่านักการเมืองจะมารังเกียจตนทำไม เพราะตนก็เพิ่งเข้ามาในการเมือง 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การพูดคุยกับพรรคต่างๆ ใครอยากคุยอะไรตนพร้อมคุยหมด เราต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง พรรคพลังประชารัฐเกิดมาเพื่อจับมือกับทุกพรรค เพื่อก้าวข้ามการแบ่งพวกแบ่งสี การต่อสู้ทางการเมืองก็ต่อสู้กันไป แต่เมื่อยุติแล้ว จะต้องทำงานร่วมกันให้ได้ ประเทศจะได้ไม่บอบช้ำ พรรคที่เราจะไม่สามารถจับมือด้วยนั้น คือพรรคที่นโยบายการบริหารประเทศ การเมืองไม่ตรงกัน หัวใจของการเลือกตั้งครั้งนี้ คือการสร้างความสามัคคี เลิกวาทกรรมคนนั้นดีคนนี้ไม่ดี ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งวัน  ส่วนตัวอยากเห็นการก้าวข้าม แล้วมาเล่นการเมืองอย่างยุติธรรม อยู่บนหลักการที่มีเหตุและผล มีข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ ไม่ทำร้ายกัน เพราะในสังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี สามารถที่จะติติงกันได้ เพื่อให้ประเทศพัฒนาไปได้ นี่คือจุดยืนของพรรค 

เมื่อถามว่า พปชร.สามารถจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทย ได้หรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ถ้าพรรคต่างๆ อยากจับมือกับเรา เราก็ยินดี จุดยืนของเราคือไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ตนไม่ได้ชวนใครทะเลาะ ไม่เคยตอบโต้ใคร 

เมื่อถามว่า วันหนึ่งถ้ามีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯอีก ความขัดแย้งก็อาจเกิดขึ้นอีก นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นหรือไม่ก็ไม่รู้ ต้องไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ เพราะวันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะไปพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้น ควรรอให้ถึงเวลา จึงค่อยมาพิจารณากันว่าในเวลานั้นๆ ใครจะเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยพรรคจะมาพิจารณาคนที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งเป็นใครก็ได้ ที่มีความน่าเชื่อถือ ประชาชนเชื่อมั่น ว่าจะสามารถนำพาประเทศไปได้ เพราะการเป็นผู้นำประเทศไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี 

"คนที่พรรคจะเสนอชื่อเป็นนายกประชาชนต้องยอมรับด้วย ถ้าไม่มีใคร นายอุตตม สาวนายน ว่าที่หัวหน้าพรรค ก็มีความเหมาะสม ส่วนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นั้น ได้ยืนยันแล้วว่าจะไม่ทำการเมืองต่อ 
อย่างไรก็ตาม ยังมีเวลาตัดสินใจ เพราะถ้าผมไปเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วท่านไม่เอา มันก็เป็นไม่ได้ จะไปเดาใจท่านได้อย่างไรว่าท่านจะเอา  ไม่คิดว่าท่านจะไม่เอาบ้างเหรอ อย่าคิดกันไปเอง ไม่มีใครอยากเป็นหรอก เหนื่อยจะตาย" นายสนธิรัตน์กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า เราตั้งเป้าทำพรรคการเมืองนี้ให้ดีที่สุด หลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองนี้จะใหญ่หรือเล็ก ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน อยู่ที่ประชาชนจะไว้วางใจหรือไม่ ผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไร เราพร้อมน้อมรับ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นพรรคใหญ่ พรรคเล็ก หรือได้เป็นรัฐบาล และยืนยันว่าไม่ใช่พรรคทหาร แต่ตั้งใจจะทำพรรคนี้ให้เป็นสถาบันทางการเมือง และขออย่ามาวิจารณ์พวกตน เพราะคงไม่มีใครเอาชีวิตมาเสี่ยง สำหรับการเลือกตั้ง เราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ ส.ส.เท่าไหร่ แต่จะทำให้ดีที่สุด ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเราดูดส.ส.นั้น ถามว่าถ้าเราดูด แล้วสอบตก เขาจะมาหรือ เรื่องแบบนี้ไม่มีแน่นอน เป็นวาทกรรมก็เท่านั้น นอกจากนี้ ขอยืนยันว่าการทำพรรคครั้งนี้ ใช้เงินตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ได้ใช้เป็นหมื่นล้านอย่างที่มีการวิจารณ์

logoline