svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"โอ๊ค-พานทองแท้" กำลังใจน้องสาวไม่ห่างส่งตัวพบอัยการฟ้องฟอกเงิน

10 ตุลาคม 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

อัยการ สั่งฟ้อง "โอ๊ค" ลูกคนโตของอดีตนายกฯ ทักษิณ สมคบฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย หลักฐานรับเช็ค 10 ล้าน ส่วน 26 ล้านอัยการสั่งไม่ฟ้อง รอส่งสำนวนดีเอสไอแย้ง-ไม่แย้ง

10 ต.ค.61 - เมื่อเวลา 09.20 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยกับกฤษฎามหานคร ได้เดินทางมาพร้อมกับ นางพินทองทา คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร น้องสาว ทั้งสอง ด้วยรถตู้เบนซ์ เพื่อเข้าพบกับอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เจ้าของสำนวนที่ได้นัดฟังคำสั่งคดีว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องในคดี ซึ่งในวันนี้มีแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทย เดินทางมาร่วมให้กำลังใจจำนวนมาก อาทิ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาทางกฎหมายของอดีตนายกฯทักษิณ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล หรือ เดียร์ บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง นายภูมิธรรม เวชยชัย ว่าที่เลขาธิการพรรคฯ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมงานฝ่ายกฎหมาย และ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ


ขณะที่นายพานทองแท้ ได้ตอบคำถามนักข่าวก่อนขึ้นไปพบกับอัยการ โดยมีสีหน้าที่สดใส ว่า "ไม่มีความกังวล ได้อยู่ครับ" ส่วนนางพินทองทา และ น.ส. แพทองธาร พี่สาวน้องสาวที่ยืนอยู่ข้างเคียงก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "กำลังใจดี" ต่อมา นายนพดลกล่าวว่า ตนไม่ได้ดูแลเรื่องในคดีนี้ให้เพราะเข้าใจว่ามีทนายความดูแลอยู่แล้ว แต่ขั้นตอนหลังจากนี้ หากอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว ก็จะต้องพาตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 คนไปส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฝั่งจำเลยเองก็มีสิทธิ์ที่จะยื่นประกันตัวต่อศาล ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะมีคำสั่งอย่างไร


จากนั้นที่ห้องประชุม ชั้น 11 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก ในเวลา 10.00น. นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงผลการสั่งคดีที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนไว้เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2561 กล่าวหา นางเกศินิ ผู้ต้องหาที่ 1 นางกาญจนาภา หงส์เหินผู้ต้องหาที่ 2 นายวันชัย หงษ์เหิน ผู้ต้องหาที่ 3 และนายพานทองแท้ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 4 ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน


โดยนายธรัมพ์ กล่าวว่า ในสำนวนคดีนี้ ได้แบ่งเงินเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือรับโอนเช็ค 26 ล้านบาท ซึ่งอัยการสั่งฟ้องนางกาญนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน อดีตภริยานายทักษิณ ผู้ต้องหาที่ 2 กับนายวันชัย สามีผู้ต้องหาที่ 3 ในความผิดฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 มาตรา 5,9 และ 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 5 ปี 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 รวมถึง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 ปี 2526 มาตรา 4 โดยอัยการได้มีคำสั่งไม่สั่งฟ้องนางเกศินี จิปิภพ ผู้ต้องหาที่ 1 และนายพานทองแท้ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน กรณีเช็คจำนวน 26 ล้านบาท


ส่วนที่สอง คือรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท อัยการก็ได้สั่งฟ้องนายพานทองแท้ ผู้ต้องหาที่ 4 เพียงคนเดียว ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 มาตรา 5,9 และ 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 5 ปี 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 รวมถึง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 ปี 2526 มาตรา 4


ในวันนี้ทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ได้มีคำสั่งฟ้องนายพานทองแท้ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงิน ที่มีการรับเช็คจำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งจะฟ้องเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542 มาตรา 5,9 และ 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฉบับที่ 5 ปี 2558 มาตรา 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 รวมถึง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 6 ปี 2526 มาตรา 4

นายธรัมพ์ ยังกล่าวอีกว่า กลุ่มที่รับโอนเงินได้มาจากการกระทำความผิดนั้น เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งสำนวนกล่าวหาผู้ต้องหารวมแล้ว 159 คน กระทำผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินมาให้อัยการพิจารณาเพิ่มเติมด้วย โดยในส่วนของผู้โอนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดนั้น อัยการก็ได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวกรวม 13 คน ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไปแล้วหลังจากพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งสำนวนกล่าวหานายวิชัย มาให้อัยการพิจารณาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ปี 2560

ขณะที่นายประยุทธ รองโฆษกฯ ได้ตอบคำถามถึงเหตุสั่งไม่ฟ้องและอายุความดำเนินคดีว่า เหตุผลการสั่งไม่ฟ้องนางเกศินี ผู้ต้องหาที่ 1 และนายพานทองแท้ ผู้ต้องหาที่ 4 ขณะนี้ไม่สามารถจะระบุรายละเอียดทั้งหมดได้เนื่องจากกระบวนการสั่งคดียังไม่ถึงที่สุด เพราะอัยการยังจะต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวกลับไปให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอ พิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งกับอัยการหรือไม่อย่างไร หากพนักงานสอบสวนเห็นพ้องกับความห็นของอัยการคือสั่งไม่ฟ้อง คดีก็จะเป็นไปตามที่สั่งไว้ครั้งแรก แต่ถ้าพนักงานสอบสวนมีความเห็นแย้งยืนยันให้ฟ้องจะต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย โดยในส่วนของนางเกศินี ผู้ต้องหาที่ 1 นั้น ตามสำนวนพนักงานสอบสวนก็มีความเห็นควรไม่ฟ้องมาอยู่แล้ว แต่ในส่วนของนายพานทองแท้ผู้ต้องหาที่ 4 พนักงานสอบสวนดีเอสไอมีความเห็นควรสั่งฟ้อง รับเช็คโอนเงินมาทั้ง 2 ฉบับ คือ 26 ล้านบาทและ 10 ล้านบาท ซึ่งอัยการได้เร่งส่งสำนวนคืนดีเอสไอแล้ว และคาดว่าดีเอสไอจะพิจารณาความเห็นโดยเร็วตามกรอบเวลาภายในอายุความ พร้อมส่งสำนวนและความเห็นเกี่ยวกับการสั่งคดีเช็คเงินจำนวน 26 ล้านบาทกลับมาให้อัยการได้ทันเวลาอายุความดังกล่าวซึ่งความผิดฐานฟอกเงินมีโทษจำคุก 1-10 ปี อายุความไม่เกิน 15 ปี ซึ่งคดีดังกล่าวเกิดในช่วงระหว่างปี 2547-2548 ก็จะเหลือเวลาดำเนินคดีราว ปีเศษ สำหรับผู้ต้องหาในกลุ่มรับโอนเงินอีก 159 คนนั้น คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณา หากอัยการมีคำสั่งจะแถลงให้ทราบต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสั่งคดีวันนี้ ในกลุ่มของผู้ต้องหามีเพียงนายพานทองแท้ ผู้ต้องหาที่ 4 เท่านั้นที่เดินทางมาให้การกับอัยการ ซึ่งอัยการก็ได้นำตัวนายพานทองแท้ไปยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้(10 ต.ค.)ส่วนนางกาญจนาภา และนายวันชัย ผู้ต้องหาที่ 2 ที่ 3 ที่อัยการสั่งฟ้องรับเช็คโอนเงิน 26 ล้านบาทนั้น วันนี้ยังไม่มารายงานตัว อัยการจึงนัดให้ทั้งสองมาฟังคำสั่งฟ้องพร้อมนำตัวไปฟ้องในวันที่ 18 ต.ค.นี้

logoline