svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ไลฟ์สไตล์

กรมสุขภาพจิตเผยสุขภาพใจคนวัยทำงานในกทม.ร้อยละ 45 ถูก "ความเครียดขโมยความสุข"

27 กันยายน 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ในปีงบประมาณ 2561 กรมสุขภาพจิตได้เร่งพัฒนาสุขภาพจิตประชาชน เพื่อให้มีสุขภาพจิตดี และมีความสุข ตั้งเป้าจะขยับอันดับความสุขของคนไทยเป็นอันดับ 26 ในพ.ศ. 2579 ซึ่งหากคนไทยมีความสุขสูงขึ้น จะมีผลต่อสุขภาพกาย ประชาชนจะมีภูมิคุ้มกันโรคดีขึ้น อัตราการป่วยจากโรคเรื้อรังอาจลดลง ประสิทธิภาพการทำงานจะสูงขึ้น สังคมจะเป็นสังคมที่น่าอยู่

ประชาชนยิ้มแย้มเป็นมิตรกันโดยบูรณาการงานสุขภาพจิตทุกกลุ่มวัยเข้าสู่ระบบสุขภาพอำเภอและเครือข่ายในพื้นที่กทม.ควบคู่กับงานทางกาย เน้นหนักที่การส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ ความสุข โรคซึมเศร้า ความเครียด การฆ่าตัวตาย และเรื่องการเห็นคุณค่าในตัวเอง เพื่อสร้างพลังใจให้เข้มแข็ง จะช่วยลดปัญหาความรุนแรงต่างๆในสังคม โดยมีศูนย์สุขภาพจิต 13 เขตสุขภาพรวมทั้งกทม. เป็นแกนหลักในการประสานการดำเนินงาน โดยเฉพาะในวัยทำงานอายุ 15-59 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด มีประมาณ 39 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ เป็นกำลังหลักสร้างเศรษฐกิจครอบครัวและประเทศชาติ มุ่งเน้นการส่งเสริมให้วัยทำงานมีความสุขในการดำเนินชีวิตทั้งในที่ทำงานและครอบครัวอย่างสมดุล

กรมสุขภาพจิตเผยสุขภาพใจคนวัยทำงานในกทม.ร้อยละ 45 ถูก "ความเครียดขโมยความสุข"



อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่าสำหรับในพื้นที่กทม.นั้น ซึ่งมีประชาชนอยู่อาศัยหนาแน่นประมาณ 10 ล้านคน เป็นพื้นที่ชุมชนขนาดใหญ่กว่าเขตสุขภาพอื่นๆที่มีประชากรประมาณ 5-6 ล้านคน ล่าสุดนี้ศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กทม. กรมสุขภาพจิตได้สำรวจสุขภาพใจคือความสุขและความเครียดของประชาชนวัยทำงานอายุ 15-60 ปี ที่อยู่ในพื้นที่ 50 เขตในกทม. ทุกสาขาอาชีพ ในเดือนกรกฎาคม 2561-สิงหาคม 2561 ใช้กลุ่มตัวอย่าง 2,261 คน ผลสำรวจปรากฏดังนี้

กรมสุขภาพจิตเผยสุขภาพใจคนวัยทำงานในกทม.ร้อยละ 45 ถูก "ความเครียดขโมยความสุข"




ในด้านความสุขตามเกณฑ์มาตรฐานกรมสุขภาพจิตที่มีคะแนนเต็ม 45 คะแนน พบประชาชน มีความสุขในเกณฑ์ปกติเท่ากับคนทั่วไป คือมีค่าคะแนน 28-34 คะแนนร้อยละ 49.36 มีคะแนนสูงกว่าคนทั่วไปคือ 35-45 คะแนน ร้อยละ 18.53 สรุปรวมทั้ง 2 กลุ่มนี้มีความสุขอยู่ในดับดีร้อยละ 67.89 ที่เหลืออีกร้อยละ 32.11 มีความสุขอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ คือต่ำกว่า 27 คะแนนลงมา เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจในระดับประเทศในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป เมื่อพ.ศ. 2558 พบว่าสัดส่วนคนกทม.มีความสุขน้อยกว่าภาพรวมประเทศที่ได้ร้อยละ 83.6 และสัดส่วนคนกทม.มีค่าความสุขในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากกว่าภาพรวมประเทศที่ได้ร้อยละ 16.4 หรือมากกว่าเกือบ 2 เท่าตัว

กรมสุขภาพจิตเผยสุขภาพใจคนวัยทำงานในกทม.ร้อยละ 45 ถูก "ความเครียดขโมยความสุข"


ส่วนด้านความเครียด ซึ่งมีคะแนนรวม 15 คะแนน ผลพบว่า มีความเครียดระดับน้อยคือคะแนนต่ำกว่า 4 คะแนนลงมาซึ่งจัดว่าเป็นระดับที่พบได้ในคนปกติมีร้อยละ 55ที่เหลืออีกร้อยละ 45 มีความเครียดผิดปกติ โดยมีความเครียดระดับปานกลางคะแนน 5-7 คะแนน ร้อยละ 29 เครียดระดับมากคะแนน 8-9 คะแนน ร้อยละ 8 และเครียดระดับมากที่สุดคะแนน 10-15 คะแนน ร้อยละ 8

กรมสุขภาพจิตเผยสุขภาพใจคนวัยทำงานในกทม.ร้อยละ 45 ถูก "ความเครียดขโมยความสุข"



ทางด้านนายแพทย์ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่13กทม. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลสำรวจครั้งนี้ เรื่องที่ทำให้ประชาชนในกทม.มีความเครียดในปัจจุบัน 3 อันดับแรก อันดับ1คือเศรษฐกิจร้อยละ30.82ชายหญิงใกล้เคียงกัน อันดับ2คือสังคมร้อยละ20.29และอันดับ3ครอบครัว ร้อยละ14.52สาเหตุที่ทำให้เครียดอันดับ1คือ ปัญหาการเงิน รายได้ไม่พอร้อยละ17.92อันดับ 2 ความวิตกกังวลร้อยละ14.23อันดับ 3 ปัญหาค่าครองชีพร้อยละ12.97อันดับ 4 คือปัญหาครอบครัวร้อยละ9.08และยังพบมีความเครียดมาจากการเสพข่าวมากเกินไปและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยร้อยละ13.21



ผลของความเครียด ทำให้กลุ่มตัวอย่าง1ใน4มีปัญหาการนอนเกิดขึ้นบ่อยครั้งและเป็นประจำ เช่นนอนไม่หลับหรือนอนมาก พบในผู้หญิงร้อยละ26ผู้ชายพบร้อยละ15นอกจากนี้ยังทำให้หงุดหงิด ว้าวุ่นใจ ร้อยละ22.87รู้สึกเบื่อเซ็งร้อยละ22.56สมาธิน้อยลงร้อยละ16.86มีความรู้สึกไม่อยากพบผู้คนบ่อยครั้งร้อยละ10.97สำหรับวิธีการจัดการความเครียดที่ประชาชนกทม.ใช้มากที่สุด คือทำใจให้สบาย/ปล่อยวางร้อยละ20.92รองลงมาคือชมภาพยนตร์ ชมละคร ร้อยละ15.80และเข้าวัดทำบุญ ใส่บาตร ไหว้พระร้อยละ8.56ออกกำลังกายร้อยละ6.62ท่องเที่ยวร้อยละ5.52หาที่ปรึกษา หาเพื่อนคุยร้อยละ4.99

กรมสุขภาพจิตเผยสุขภาพใจคนวัยทำงานในกทม.ร้อยละ 45 ถูก "ความเครียดขโมยความสุข"



นายแพทย์ทวีศักดิ์กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ2562นี้ศูนย์สุขภาพจิตที่13จะเร่งบูรณาการการทำงานร่วมกับกทม.ทั้ง 50 เขตและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆอย่างใกล้ชิด และพัฒนาความรู้ให้อาสาสมัครสาธารณสุขในกทม.และขยายผลถึงผู้นำชุมชนต่างๆด้วย รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการข้อมูลความรู้สุขภาพจิตที่ง่ายขึ้นของประชาชนทุกกลุ่มซึ่งสภาพที่อยู่อาศัยมีหลายรูปแบบและเหมาะกับสภาพวิถีชีวิต เพื่อดูแลส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิต

ทั้งนี้กลุ่มประชาชนวัยทำงานที่เป็นกลุ่มตัวอย่างสำรวจครั้งนี้ เป็นชายร้อยละ 38 หญิงร้อยละ 62สถานภาพโสดร้อยละ47สมรสร้อยละ43หย่าร้างร้อยละ7 หม้ายร้อยละ3ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 37 ไม่ได้เรียนร้อยละ 1.90 อาชีพมีทั้งนักเรียนนักศึกษา ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ รับจ้างทั่วไป พนักงานบริษัทเอกชน ค้าขาย ทำธุรกิจส่วนตัว เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ ว่างงาน และเกษตรกร มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 5,000 บาท ร้อยละ 16 รายได้ 5,000-25,000 บาท ร้อยละ 69 ทีรายได้ 25,001-35,000 บาทร้อยละ 10 และมากกว่า 35,000 บาทร้อยละ 6 เป็นผู้มีโรคประจำตัวร้อย24ไม่มีหนี้สินร้อยละ44 มีหนี้สินที่กระทบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่สามารถจัดการได้ร้อยละ 4

logoline