จะเห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบผลงานของนักกีฬาไทย ครั้งที่ 18 นี้ ประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน 830 คน จาก 45 สมาคมกีฬา ได้รับเหรียญรางวัล 158 คน จาก 25 สมาคมกีฬา ที่สำคัญ เป็นนักกีฬาใหม่ที่ไม่เคยเข้าร่วมในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ มาก่อนถึง 563 คน คิดเป็น 67.83% และมีนักกีฬาใหม่ทำผลงานได้เหรียญ 105 คน คิดเป็น 19% จาก เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 17 (แข่งขัน 39 สมาคมกีฬา) ถึง จาการ์ตาเกมส์ ครั้งที่ 18 (แข่งขัน 45 สมาคมกีฬา) มีชนิดกีฬาที่เหมือนกัน 37 ชนิดกีฬา ปรากฎว่า "ทัพนักกีฬาไทย" ทำได้ดีขึ้น 12 ชนิด จาก กรีฑา ,ขี่ม้า ,เทควันโด ,บาสเกตบอล, แบดมินตัน ,ยกน้ำหนัก ,ยิงปืน,ยิงเป้าบิน,ยูโด,วินด์เซิร์ฟ,เรือพาย และ วูซู ขณะที่ 3 ชนิดกีฬา ทำได้เท่าเดิม คือ กาบัดดี้ ,คาราเต้ และ ตะกร้อ และ 7 ชนิดกีฬา ทำได้ลดลง คือกอล์ฟ,จักรยาน,เทนนิส,โบว์ลิ่ง,มวยสากล, เรือใบ และ วอลเลย์บอล ส่วนอีก 15 ชนิดกีฬา ไม่ได้รางวัล ได้แก่ ไตรกีฬา ,เทเบิลเทนนิส ,ฟันดาบ,ยิงธนู , ยิมนาสติก,รักบี้ฟุตบอล,ว่ายน้ำ,แฮนด์บอล,ปัญจกีฬาสมัยใหม่,ซอฟท์เทนนิส ,ซอฟท์บอล, เบสบอล,สควอช และฮอกกี้
ที่สำคัญในเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งนี้ มีการเพิ่มชนิดกีฬาใหม่ถึง 10 ชนิดกีฬา และนักกีฬาไทยทำเหรียญได้ 5 ชนิด ได้แก่ กีฬาทางอากาศ , เจ็ตสกี ,บริดจ์ ,ปันจักสีลัต และยูยิตสู นอกจากผลงานภาพรวมที่ดีแล้วในส่วนของกีฬาที่มีสถิติเป็นตัวชี้วัด (4 ชนิดกีฬา กรีฑา,ว่ายน้ำ,ยกน้ำหนัก และ ยิงปืน) ชิง 61 รายการ ในครั้งนี้ "นักกีฬาไทย"ทำสถิติดีขึ้นถึง 38 รายการ,สถิติลดลง 23 รายการ
"รองตูน" กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันมีการวิเคราะห์กีฬาที่มีผลงานเด่นในเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ปรากฎว่า มีหลายกีฬาที่โดดเด่น อาทิ กรีฑา ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญเงินทศกรีฑาชาย ที่ห่างหายไป 40 ปี ส่วนกระโดดค้ำหญิงได้เหรียญเงินครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ,กีฬาทางอากาศ แข่งครั้งแรก ไทยคว้ามาได้ 2 ทอง ทั้งที่ตั้งเป้าไว้เพียง 1 ทอง , จักรยาน คว้าเหรียญทอง คีรินชาย เหรียญประวัติศาสตร์ให้กับไทยได้สำเร็จ,เจ็ตสกี บรรจุแข่งขันครั้งแรก นักกีฬาทำได้ 1 ทอง 2 เงิน 2 ทองแดง, ตะกร้อ พรชัย เค้าแก้ว สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้า 10 เหรียญทองในเอเชี่ยนเกมส์, เทควันโด นักกีฬาพุ่มเซ่ ทีมหญิงคว้าทองแรกในประวัติศาสตร์ให้ทัพนักกีฬาไทย, เทนนิส คู่ผสมคว้าเหรียญเงินครั้งแรกในรอบ 40 ปี ,บาสเกตบอลหญิง 3x3 คว้าทองแดงแรกในประวัติศาสตร์เช่นกัน,วอลเลย์บอลในร่มทีมหญิง ที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้จะได้เหรียญเงิน , ยิงเป้าบิน คว้าทองแรกในประวัติศาสตร์ในประเภทสกีตหญิง พร้อมทำลายสถิติของเอเชียอีกด้วย รวมทั้ง แฮนด์บอลหญิง แม้จะได้อันดับ 4 แต่เป็นผลงานที่ดีที่สุดของไทยที่ไม่เคยได้มาก่อน นี่คือสมาคมที่สร้างชื่อและมีผลงานโดดเด่น แต่ในทางตรงกันข้ามมีหลายกีฬาที่พลาดเป้าหมาย ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน อาทิ ฟุตบอลชาย ตกรอบแรก,กอล์ฟ คาดหวัง 2 ทองแต่ไม่ได้เหรียญรางวัลเลย, มวยสากล เข้าตัดเชือก 6 รุ่น แต่ทำได้ 1 เงิน 5 ทองแดง และ ยกน้ำหนัก ได้เพียง 1 เงิน 6 ทองแดง ทั้งที่จีนไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันฯ
อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวในบางชนิดกีฬาที่เกิดขึ้น มีปัจจัยที่ส่งผลต่อทำผลงานของนักกีฬาไทยและนักกีฬาประเทศอื่นๆ คือ การโอนสัญชาติ โดยเฉพาะ บาห์เรน ที่ทำผลงานได้ 12 ทองจาก กรีฑา เพียงชนิดกีฬาเดียว พบว่า นักกีฬา 37 คน เป็นนักกีฬาโอนสัญชาติถึง 33 คน จาก ไนจีเรีย 10 คน,เอธิโอเปีย 9 คน ,โมร็อกโค 5 คน ,เคนย่า 8 คน และ จาไมก้า 1 คน
นอกจากนี้การกำหนดชนิดกีฬาของประเทศเจ้าภาพนับเป็นปัจจัยต่ออันดับตารางเหรียญของไทย จะเห็นว่า "เจ้าภาพ" อินโดนีเซีย กำหนดแข่งขันกีฬาในกลุ่มกีฬาต่อสู้ถึง 10 ชนิด ชิงกันมากถึง 118 เหรียญทอง (คูราช 7 ทอง,มวยปล้ำ18 ทอง,ยูยิตสู 8 ทอง,แซมโบ้ 4 ทอง,ยูโด 15 ทอง,คาราเต้ 12 ทอง,วูซู14 ทอง,เทควันโด 14 ทอง,ปันจักสีลัต 16 ทอง ) ซึ่งนับเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง
จากการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ในครั้งนี้ กกท. มีแนวทาง 4 ด้านในการพัฒนากีฬาของไทยเพื่อให้ประสบความสำเร็จ คือ 1. การพัฒนาชนิดกีฬาให้มีความหลากหลายโดยเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มกีฬามาร์เชียลอาร์ท , 2.พัฒนาศูนย์กีฬาทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ศูนย์เฉพาะทาง/เฉพาะกีฬา โดยให้เริ่มจากส่วนกลางก่อน, 3.พัฒนาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาฯตลอดจนพัฒนาบุคลากรให้กระจายทั่วทั้งส่วนกลางและภูมิภาค และ 4.สนับสนุนให้สมาคมเข็มแข็ง มีธรรมาภิบาลและมีแผนพัฒนากีฬาชนิดนั้นๆอย่างชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อจะช่วยพัฒนานักกีฬาไทยให้ประสบความสำเร็จและก้าวไปสู่ระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน