ข้อมูลรัฐบาลอังกฤษที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (23 ส.ค.) ระบุว่า ประเทศนำเข้าตัวอย่างสเปิร์มราว 3,000 ตัวอย่างจากธนาคารสเปิร์มเชิงพาณิชย์แห่งหนึ่งในเดนมาร์กเมื่อปีที่แล้ว เช่นเดียวกับนำเข้าตัวอย่างสเปิร์มราว 4,000 ตัวอย่างจากสหรัฐ
นอกจากนั้น อังกฤษยังนำเข้าไข่และตัวอ่อนบางส่วนจากประเทศอื่น ๆ ในอียู โดยปีที่แล้วอยู่ที่ราว 500 ตัวอย่าง
ขณะที่การบริจาคสเปิร์มในอังกฤษลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริจาคเสียสิทธิที่จะปิดบังชื่อของตน ภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2548
นางกีธา เวนแคต ผู้อำนวยการคลินิกเจริญพันธุ์ฮาร์ลีย์ สตรีท เผยกับสถานีวิทยุบีบีซีว่า สถานการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับคู่สามีภรรยา การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการนำเข้าสเปิร์มจากสหรัฐ หมายความว่าต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน ขณะที่การนำเข้าจากเดนมาร์กในปัจจุบันใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น
นอกจากนั้น นางเวนแคตเตือนว่า กระบวนการเอกสารที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งจะตกเป็นภาระต่อคู่สามีภรรยา และไม่มีใครรู้หากอังกฤษออกจากอียูโดยไม่ทำข้อตกลงก่อนจะเกิดอะไรตามมาหากการเจรจาเพื่อออกจากอียู หรือ "เบร็กซิต" ล่ม รัฐบาลอังกฤษระบุว่า กฎหมายที่บังคับใช้กับการนำเข้าสเปิร์มในปัจจุบันก็จะใช้ในประเทศไม่ได้อีกต่อไป
รัฐบาลอังกฤษชี้ว่า บรรดาธนาคารผสมเทียมจะต้องทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับองค์กรอียูที่เกี่ยวข้องใหม่อีกรอบ แต่ยืนยันว่า ส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบน้อยมาก