svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

คุก! "แก๊งทนายแสบ" โกงเงิน 5 ล. "น้องบีม" รถชนพิการปี 57

23 สิงหาคม 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

23 สิงหาคม 2561 - ศาลตลิ่งชัน สั่งคุก 2 ปี 16 เดือนเพื่อนสาวคนสนิททนายพิสิษฐ์ร่วมฉ้อโกง-ชดใช้เงินล้านครอบครัวเด็ก หลังปีที่แล้วทนายแสบเจอคุก 5 ปี 12 เดือน



ว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง โฆษกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีที่นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ อายุ 61 ปี อดีตทนายความ , ภรรยา และเพื่อนสาวคนสนิทร่วมกันฉ้อโกงเงิน 5 ล้านบาทเมื่อปี 2557 ที่บริษัทเอกชนคู่กรณี ได้ชดใช้ค่าเสียหายคดีอุบัติเหตุรถชน "น้องบีม" ขณะนี้วัย 15 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลังและเส้นประสาทจนเดินไม่ได้ตั้งพิการนั่งรถวิลแชร์ และนางพรทิพย์ จันทรัตน์ มารดา อายุ 47 ปี



กระทั่งมีการดำเนินคดีซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องนายพิสิษฐ์กับพวกโดยมีน้องบีม และมารดาเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา ฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม , ร่วมกันฉ้อโกงและยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง , 268 , 341 , 353 , 354 แล้วต่อศาลจังหวัดตลิ่งชันเมื่อปี 2560 นั้นว่า คดีในส่วนที่ได้ยื่นฟ้อง น.ส.พรปวีณ์ ชูแก้ว (เพื่อนสาวคนสนิทของนายพิสิษฐ์) และ น.ส.ฐิตาภา หรือภัทรวดี สวัสดี (ภรรยาของนายพิสิษฐ์) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในคดีหมายเลขดำที่ อ.3509/2560 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 , 354 ประกอบมาตรา 86 ฐานร่วมกันปลอมแปลงและใช้เอกสารปลอม, ฐานเป็นผู้สนับสนุนบุคคลอื่นฉ้อโกงโดยกระทำผิดหน้าที่กับจำเลยที่ 1 และในฐานฉ้อโกงกับจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 พร้อมเรียกค่าสินไหมทดแทน นั้น


สภาทนายความได้จัดทนายความอาสา ที่ตนกับนายดำรงศักดิ์ เครือแก้ว อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ เป็นหัวหน้าทีมและในฐานะกำกับดูแลทนายความอาสาจากเนติบัณฑิตยสภา ช่วยว่าความในคดีให้กับน้องบีมและแม่ ร่วมกับอัยการโจทก์นั้น ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ โจทก์จึงได้สืบพยานประกอบจบสิ้นโดย น.ส.ฐิติภา จำเลยที่ 2 เสนอชดใช้เงิน 50,000 บาทแก่น้องบีมกับแม่โจทก์ร่วม และขอให้ถอนฟ้องหรือถอนคำร้องทุกข์เพื่อให้คดีอาญาระงับไปเฉพาะจำเลยที่ 2 โดย น.ส.พรปวีณ์ จำเลยที่1 ก็ไม่คัดค้าน ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้นำเงินสดจำนวนดังกล่าวมามอบให้โจทก์ร่วมแล้ว


จากนั้นเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดตลิ่งชัน จึงมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวว่า โจทก์ร่วมได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 แล้วไม่ติดใจเอาความจึงขอถอนฟ้องศาลก็อนุญาตให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ส่วนน.ส.พรปวีณ์ จำเลยที่ 1 พิพากษาว่ามีความผิดตามฟ้องอันเป็นความผิดสองกระทง ให้จำคุกรวม 2 ปี 16 เดือน และให้ชดใช้เงิน 981,100 บาท แก่นางพรทิพย์ มารดาโจทก์ร่วมที่ 1 และ 1,405,000 บาท แก่น้องบีมโจทก์ร่วมที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ เมื่อถามถึงคดีแพ่งที่ "นางพรทิพย์" มารดาและ "น้องบีม" ได้ยื่นฟ้อง นายพิสิษฐ์ และ น.ส.พรปวีณ์ เพื่อนสาวคนสนิท เป็นจำเลยที่ 1-2 คดีหมายเลขดำ พ.3178/2560 เรื่องผิดสัญญาตัวแทนและบังคับตามสัญญารับสภาพหนี้ ทุนทรัพย์พิพาท 3,412,500 บาทต่อศาลแพ่งด้วย เมื่อวันที่ิ 6 ก.ค.60 ที่ผ่านมา โดยแม่-ลูกได้รับความช่วยเหลือทางคดีในการยื่นฟ้องจาก นายวัชณ์ธิป แสดงมณี ทนายความจากสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา (ส.ช.น.) นั้น



ว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง โฆษกสภาทนายความฯ กล่าวว่า ปัจจุบันคดีแพ่งดังกล่าวมีการจำหน่ายคดีจากสารบบความไว้ชั่วคราว เนื่องจากรอผลคดีอาญาต่างๆ ซึ่งคดีอาญาในส่วนของนายพิสิษฐ์ ที่ถูกอัยการฟ้องต่อศาลจังหวัดตลิ่งชันนั้นที่รับสารภาพว่าปลอมแปลงเอกสารเพิ่อรับเงินชดใช้ค่าเสียหายนั้นก็สิ้นสุดแล้วเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คดี โดยศาลจังหวัดตลิ่งชัน พิพากษาให้จำคุกนายพิสิษฐ์ เป็นเวลา 5 ปี 12 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ส่วนคดีอาญาของ น.ส.พรปวีณ์ ล่าสุดนี้ก็ต้องรอดูว่าจำเลยจะมีการยื่นอุทธรณ์คดีภายใน 1 เดือนหรือไม่ เมื่อถามถึง ส่วนของเงินเดิมที่บริษัทเอกชน ชดใช้เป็นค่าเสียหายร่วม 5 ล้านบาทให้ครอบครัวน้องบีมตาวคำพิพากษานั้น แต่ถูกนายพิสิษฐ์ อดีตทนายความ ได้ฉ้อฉลไปด้วยแล้วนายพิสิษฐ์นำหนังสือมอบอำนาจปลอมที่หลอกในมารดาน้องบีมเซ็นไปใช้ยื่นขอสละสิทธิ์การบังคับคดีกับบริษัทเอกชนก่อนหน้านี้นั้น โดยอ้างว่าได้ประนอมข้อพิพาทและรับค่าสินไหมมาจนพอใจแล้ว



ซึ่งต่อมาน้องบีม-มารดาความเพิ่งทราบความจริง จึงได้ให้สภาทนายความช่วยยื่นขอเพิกถอนคำร้องสละสิทธิ์การบังคับคดีต่อศาลจังหวัดไชยาที่นายพิสิษฐ์เคยยื่นไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง โฆษกสภาทนายความ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่าการขอสละสิทธิ์บังคับคดีนั้นไม่ชอบ จึงให้ออกหมายบังคับคดีเรียกเงินค่าเสียหายนั้นต่อไป ซึ่งต้องดูอีกครั้งว่าคู่กรณียื่นฎีกาประเด็นนี้อีกหรือไม่ โดยถ้าถึงที่สุดแล้วว่าให้ต้องบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเสียหายต่อไป น้องบีม-แม่ จึงถือว่ายังมีสิทธิบังคับคดีกับเอกชนตามกฎหมายเพราะเงินที่มีการชดใช้นั้นไม่ถึงมือ



ส่วนเงินที่บริษัทเอกชนเคยจ่ายโดยผ่านนายพิสิษฐ์ เป็นผู้รับเงินแทน บริษัทก็มีสิทธิที่จะฟ้องกลับเรียกร้องทรัพย์สินจากนายพิสิษฐ์ ต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายพิสิษฐ์ ที่ถูกอัยการฟ้องต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน ในคดีหมายเลขดำที่ 3272/2560 ความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม , ร่วมกันฉ้อโกงและยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง , 268 , 341 , 353 , 354 นั่น ศาลได้มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 18 ก.ย.60 หลังจากนายพิสิษฐ์ให้การรับสารภาพโดยตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งศาลพิพากษาจำคุกนายพิสิษฐ์ เป็นเวลา 5 ปี 12 เดือนโดยไม่รอลงอาญา และห้ามไม่ให้ประกอบอาชีพทนายความเป็นเวลา 5 ปี โดยสภาทนายความ ได้ลบชื่อออกจากสารบบบัญชีทนายความแล้ว




ทั้งนี้พฤติการณ์กระทำผิดของกลุ่มนายพิสิษฐ์นั้น สืบเนื่องจาก น.ส.พรทิพย์ ได้ตั้งนายพิสิษฐ์ เป็นทนายความ มอบอำนาจให้เจรจาเรียกร้องเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่พิพากษาให้บริษัทเอกชนกับพวก ชำระเงินค่าเสียหาย 4,987,822 บาทกรณีพนักงานบริษัทขับรถพ่วง 18 ล้อชนครอบครัวน้องบีมเมื่อปี 2548 ที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งน้องบีมกับแม่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนพ่อน้องบีมเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 19 ก.พ.57 นายพิสิษฐ์ และ น.ส.ฐิตาภา สวัสดี ภรรยาของนายพิสิษฐ์ ได้มาเจรจาค่าเสียหายกับบริษัทตกลงชดใช้เงิน 4 ล้านบาท โดยทำสัญญาบริษัท สั่งจ่ายเช็ค 500,000 บาทให้กับนายพิสิษฐ์ ที่รับไปแล้ว ส่วนเงินที่เหลือ 3.5 ล้านบาทตกลงผ่อนชำระ 35 งวดๆละ 100,000 บาท โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของนายพิสิษฐ์ จนครบถ้วน



ต่อมาระหว่างผ่อนชำระนายพิสิษฐ์ได้แจ้งให้บริษัทสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้แต่ละงวด โดยลงวันที่ไว้ล่วงหน้าระบุชื่อนายพิสิษฐ์เป็นผู้รับเงิน แล้ววันที่ 27 เม.ย.57 นายพิสิษฐ์ ได้เดินทางมาทำบันทึกข้อตกลงประนีประนอมยอมความกับบริษัท มีใจความว่าผู้กล่าวหากับพวกได้รับเงินจำนวน 650,000 บาทจากการผ่อนชำระของบริษัทแล้ว คงเหลือยอดหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน 3,350,000 บาท บริษัทขอจ่ายเป็นเช็คให้แก่ผู้เสียหายรวม 31 ฉบับ ซึ่งผู้เสียหายได้รับเช็คดังกล่าวเรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญาดังกล่าว บริษัทได้สั่งจ่ายเช็คระบุชื่อนายพิสิษฐ์เป็นผู้รับเงินจำนวน 31 ฉบับมอบให้นายพิสิษฐ์ไปและต่อมาทราบว่านายพิสิษฐ์ได้นำเช็คดังกล่าวไปขายลดเรียบร้อยแล้ว แต่นายพิสิษฐ์ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทโดยขอต่อรองค่าเสียหายเหลือ 800,000 บาท ซึ่งนายพิสิษฐ์ได้พูดจาหว่านล้อมผู้เสียหายว่าสมควรจะรับไว้ดีกว่าไม่ได้เลยและอ้างว่าจะช่วยต่อรองกับบริษัทให้ได้เงิน 1 ล้านบาท




ต่อมานายพิสิษฐ์ก็แจ้งว่าสามารถเจรจาตกลงได้แล้วและนัดผู้เสียหายไปพบในวันที่ 2 พ.ค.57 ซึ่งวันดังกล่าวนายพิสิษฐ์ เดินทางมาพร้อมกับ น.ส.ฐิตาภา ภรรยาอ้างว่าเป็นตัวแทนของบริษัทแล้วทั้งสองก็ได้นำเอกสารสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นเท็จมาหลอกผู้เสียหายให้หลงเชื่อยินยอมทำสัญญาดังกล่าวที่ตกลงชดใช้เงิน 1 ล้านบาท ต่อมานายพิสิษฐ์ ได้โอนเงิน 285,000 บาทเข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายจากนั้นผู้กล่าวหาก็ไม่ได้รับการโอนเงินอีกเลยเมื่อติดต่อทวงถามหลายครั้งก็ไม่สามารถติดต่อได้ กระทั่งได้ติดต่อสอบถามบริษัท จึงได้รับคำชี้แจงว่าบริษัทได้ชำระเงินให้แก่นายพิสิษฐ์เรียบร้อยแล้ว และ น.ส.ฐิติภา ไม่ได้เป็นตัวแทนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน



และที่สุดก็ได้ดำเนินคดีกับนายพิสิษฐ์และผู้เกี่ยวข้องโดยเมื่อวันที่ 17 ก.ค.60 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถ จับกุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ฐานร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม , ร่วมกันฉ้อโกงและยักยอกโดยเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน เป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคสอง , 268 , 341 , 353 , 354 ซึ่งนายพิสิษฐ์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยในชั้นฝากขังและชั้นพิจารณานายพิสิษฐ์ ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี ส่วน น.ส.พรปวีณ์นั้น ก็ร่วมนำเอกสารปลอมไปหลอก น.ส.พรทิพย์ ทำนองว่าเป็นตัวแทนของบริษัทคู่กรณี มาขอเจรจาว่าบริษัทกำลังขาดสภาพคล่องไม่มีเงินจ่าย ขอลดค่าเสียหาย

logoline