ครอบครัวน้องเมย ร้องแพทย์สภา! ขอหลักการเก็บอวัยวะที่ถูกต้อง

จากกรณีผลตรวจของนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์ ตันญกาญจน์ หรือ น้องเมยที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 ด้านผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยผลการตรวจดีเอ็นเอ ว่า ทางสถาบันได้ชันสตรศพตามขั้นตอนต่างๆจนเสร็จ และได้จัดทำรายงานผลการชันสูตรเบื้องต้นให้พนักงานสอบสวนและญาติผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเพื่อยืนยันว่า เป็ยอวัยวะของน้องเมยจริงหรือไม่ ทางสถาบันนิติวิทยาศาตร์ ไม่สามารถตรวจยืนยันได้เนื่องจากดีเอ็นเอในเนื้อเยื่อในอวัยวะที่ผ่านการดองน้ำยาฟอร์มาลีนมีการเสื่อมสลายมาก และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการตรวจพิสูจน์ทางสถานบันฯจึงได้ส่งอวัยวะดังกล่าวไปให้กับคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ตรวจพิสูจน์ยืนยันอีกครั้ง จนพบว่าเนื้อเยื่อจากอวัยวะต่างๆมีดีเอ็นเอในปริมาณและคุณภาพที่ไม่เหมาะสมในการตรวจวิเคราะห์จึงไม่สามารถระบุรูปแบบดีเอ็นเอเพื่อยืนยันตัวบุคคลได้

ล่าสุดดวันนี้ทางครอบครัวตัญกาญจน์ ประกอบด้วย นายพิเชษฐ นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พ่อ แม่ และพี่สาวของ น้องเมย มายืนหนังสือถึงแแพทย์สภาเพื่อขอทราบหลักการชันสูตร และเก็บอวัยวะชิ้นส่วนศพที่เป็นมาตรฐานสากล


ซึ่งทาง น.ส.สุพิชา หรือ พี่สาวน้องเมย บอกว่า วันนี้นำหลักฐานมายื่นกับแพทยสภา เพื่อขอทราบหลักการชันสูตร และเก็บอวัยวะชิ้นส่วนศพ หลังแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯผู้ทำการชันสูตรไม่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการชันสูตรและไม่มีความละเอียดรอบคอบในการลงความเห็นการเสียชีวิต และไม่แจ้งสาเหตุที่ไม่ยอมส่งมอบอวัยวะที่สูญหายให้กับญาติผู้เสียชีวิต แต่มาส่งมอบชิ้นส่วนอวัยวะที่ผ่านการดองให้ในภายหลัง จนทำให้ชิ้นส่วนบางชิ้นไม่สามารถตรวจสอบหาความเชื่อมโยงได้อีก และทำให้คณะแพทย์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ชันสูตรใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง และแต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าชิ้นส่วนอวัยวะดังกล่าวเป็นของใคร และส่งผลให้ไม่สามารถระบุการเสียชีวิตได้ เนื่องจากมีร่องรอยที่ชิ้นส่วนศพ ส่งผลต่อสำนวนคดีในการหาตัวผู้กระทำความผิดเนื่องจากอัยการไม่สามารถลงความเห็นการตาย และส่งสำนวนให้ศาล

พร้อมเรียกร้องให้แพทยสภาตรวจสอบจริยธรรมของแพทย์ผู้ทำการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ทั้งในการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการชันสูตร และการเก็บรักษาอวัยวะสำคัญ


ส่วนเรื่องคดี ตอนนี้ผ่านมากว่า 10 เดือนแล้วแต่คดีไม่มีความคืบหน้าโดยหลายครั้งที่มีการทวงถามไปหรือขอความร่วมมือกับทางกองทัพก็มักจะไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ จึงอยากเรียกร้องให้ทางกองทัพออกมาแสดงความจริงใจโดยการให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีมากกว่านี้


ขณะที่ทางแพทยสภาได้มอบหมายให้นิติกร รับเรื่องดังกล่าวไว้ โดยยืนยันจะเร่งเสนอคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานกว่า 7 เดือน แต่หากพบว่า แพทย์มีมูลความผิดจริง ก็จะมีโทษตั้งแต่ ว่ากล่าวตักเตือน / ภาคทัณฑ์ /ระงับการใช้ใบอนุญาตวิชาชีพแพทย์ และเพิกถอนใบอนุญาต