"ตูน" อาทิวราห์ คงมาลัย เผยความรู้สึกถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ดังนี้
"คือเราก็รู้นะว่าตลอดเส้นทางจะมีกล้องของทีมงานตามถ่ายมาตลอดไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่เราก็ใช้ชีวิตปกติ ปล่อยให้เขาได้ทำงานของเขาไป ส่วนงานตรงหน้าของเราคือการวิ่งการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลตลอดทาง 55 วัน พอได้มาเห็นตัวเองวันนี้ก็รู้สึกแปลกนิดหนึ่ง ปกติเห็นตัวเองมาตลอดในเอ็มวีอะไรแบบนั้น แต่วันนี้มันแค่แปลกเพราะว่ามันอยู่ในหนัง แล้วมันก็ไม่ได้ถูกออกแบบ ฉากบางฉากก็คืออยู่ในรถบ้านที่มีที่นอน เสื้อผ้าบางทีก็ไม่ได้ใส่ คือเราก็ใช้ชีวิตจริงๆในช่วงเวลาสองเดือนนั้น สิ่งที่ได้เห็นในภาพยนตร์มันคือเรื่องจริงครับ"
รู้สึกเขินบ้างไหม
"เขินครับ ผมจะเป็นคนเขิน คือตอนแรกผมบอกผู้กำกับเอาไว้ว่าทำหนังอย่าโฟกัสที่ผมเยอะเลย เพราะทุกคนเห็นผมมาตลอดอยู่แล้ว ความตั้งใจแรกคืออยากให้บันทึกเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นระหว่างทางวิ่ง ซึ่งมันมีมากกว่าตัวเราเอง มีคนไทยทุกคนออกมาช่วยกัน มีในมิติของคุณหมอคุณพยาบาลที่ออกมาร่วมด้วยช่วยกันอะไรต่างๆ ตอนแรกเราอยากให้มันเป็นอย่างนั้นมากๆ สุดท้ายเพราะมันออกมาเป็นแบบนี้ถามว่าตรงใจมั้ย ผมมองที่ปลายทางของมันมากกว่า คือเวลาดูจบผมพอใจมากที่สุดที่มันจะเกิดแรงบันดาลใจทำให้ใครหลายคนออกไปทำอะไรดีๆ"
ช่วงที่โดนกล้องตามถ่ายตลอดมีรู้สึกอึดอัดบ้างไหม
"มีบางช่วงที่เรารู้สึกอยากจะเข้าห้องน้ำ ปวดอึมากอะไรอย่างเนี้ย คือตอนแรกไม่ชิน แต่ตอนหลังก็โอเคแล้ว เรียกว่าใช้ชีวิตปกติ ค่อยๆ ปรับสภาพตัวเองเพราะว่าน้องคนที่ตามถ่ายก็ค่อนข้างที่จะเจอกันมาก่อนนานแล้วและทำความคุ้นเคยกันมาสักพักแล้ว สิ่งที่ได้เห็นในหนังก็เป็นตัวเองที่สุดละครับ"
เรียกว่าเป็นพระเอกของเรื่อง
"(หัวเราะ) เขินดีครับ จริงๆ ไม่ใช่พระเอกหรอกครับ แค่เราเป็นคนที่ทำอยู่ตรงนั้นก็ถูกโฟกัสเท่านั้นเอง"
ได้มีส่วนในการช่วยคัดเลือกว่าภาพตรงไหนจะเอาใส่ในหนังบ้าง
"ไม่เลยครับ อย่างที่บอกว่าเราไม่มีความถนัดทางด้านการเล่าเรื่องแบบหนัง จีดีเอชต่างหากที่เป็นคนที่ทำงานอยู่ด้านนี้โดยเฉพาะ แล้วก็ทำหนังหลายๆ เรื่องซึ่งสร้างแรงบันดาลใจดีๆ เสียงหัวเราะ และน้ำตามาโดยตลอด เราก็คิดว่าจะปล่อยให้พี่ๆ เขาทำงานที่เขาทำได้ดีมากอยู่แล้วอย่างเต็มที่ เราขอเป็นคนแค่สื่อสารเรื่องราวผ่านการวิ่งไปดีกว่า"
เชื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ได้ดูไหม
"ไม่มากก็น้อย ผมหวังว่าอยากจะให้มันเป็นแรงบันดาลใจดีๆ กับใครหลายๆคนที่ได้ดู"
อย่าง "ก้อย" รัชวิน ได้มาอยู่ในหนังด้วยหรือเปล่า
"ก็แน่นอนครับ เขาก็ตื่นเต้นนะครับ ตื่นเต้นที่มันจะออกมาเป็นบันทึกเรื่องราว แล้วก็ตื่นเต้นที่ทุกคนจะได้ดูมันแบบฟรีๆด้วย"
มีความโรแมนติกอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า
"ไม่มีนะเท่าที่ดู(ยิ้ม) ไม่รู้เขาจะตัดอะไรเข้าไปเพิ่มหรือเปล่า(หัวเราะ)"
เรียกว่าเราเป็นพระเอก แล้วก้อยเป็นนางเอก
"ไม่ๆ จริงๆหนังเรื่องนี้คนที่เป็นพระเอกน่าจะเป็นคนไทยทุกคนมากกว่า"
โปรเจกต์ ก้าวคนละก้าว จะมีแผนเพิ่มเติมอย่างไรไหม
"ก็จริงๆแล้วในโปรเจกต์หนังเรื่อง 2215 ที่เรากำลังจะฉายในเดือนกันยายนนี้ เราจะมีกิจกรรมไปตลอดประมาณ 6 เดือน 6 เดือนเราจะพาหนังเรื่องนี้ไปที่ต่างๆ แล้วก็จะมีกิจกรรมล้อไปกับหนังเรื่องนี้ อาจจะไปจัดวิ่ง ลองRUN ตามที่ต่างๆ ตามจังหวัดต่างๆ แล้วก็มาชมภาพยนตร์ ร่วมกันบริจาคด้วย เราจะทำตลอด 6 เดือนนี้ คิดว่าน่าจะไปสิ้นสุดโครงการที่เดือนกุมภาพันธ์ แล้วก็จะสรุปยอดของกิจกรรม"
เห็นว่าโครงการนี้จะจัดทำเพื่อบริจาคให้โรงพยาบาลศิริราช
"ก็จริงๆแล้ว เราก็ตั้งใจว่าเราจะให้ทุกคนได้ชมฟรี เราไม่อยากคิดสตางค์ว่า 150-200 ให้คนได้ทำบุญหรือหักค่าใช้จ่ายแบบนั้น อยากให้ทุกคนได้ดูกันแบบฟรีๆเหมือนที่ทุกคนออกมาให้เราฟรีๆตลอด 55 วันที่ผ่านมา มาให้ใจ ส่งข้าวส่งน้ำ ให้เงินบริจาคหรืออะไรก็ตาม หนังเรื่องนี้จะเป็นเหมือนคำขอบคุณของพวกเราโครงการก้าวคนละก้าว ให้คนไทยได้ดูฟรีๆ สุดแล้วแต่ว่าออกมาแล้วคุณอยากจะบริจาคให้กับทางศิริราช เพื่อสร้างตึกนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ซึ่งต้องการงบประมาณอีกเป็นพันล้าน เพื่อที่จะสำเร็จ ก็แล้วแต่คุณเลยว่าคุณอยากจะบริจาคเท่าไหร่"
แสดงว่าก็ไม่ได้ตั้งเป้าเรื่องจำนวนตัวเลขใช่ไหม
"ก็อยากให้สมความปรารถนาของคุณหมอที่ศิริราช ตอนนี้ต้องการอีกประมาณพันล้าน ถึงจะซื้อเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเข้าไปได้ครบ รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีที่สุดด้วยเพื่อรักษาคนให้ดีที่สุดครับ ผมคิดว่าถ้ามีเป้า ผมก็อยากเป็นพระเอกพันล้าน (ยิ้ม) "
จะร่วมบริจาคได้อย่างไร
"เรามีช่องทางรับบริจาคหลายๆช่องทางนะครับ sms ก็มี 10 บาทเหมือนเดิม คือเราอยากได้จำนวนคนที่เข้ามาและบริจาคได้ง่ายๆ และคิดดูว่า 70 ล้าน 10 บาทเหมือนเดิมเราได้ 700 แล้ว ฝากพี่ๆสื่อช่วยกระจายตรงนี้ด้วย 10 บาทเหมือนเดิม และเรามีคิวอาร์โค้ดสำหรับใครที่มีนวัตรกรรมมือถือที่จะสแกนแอพพลิเคชั่น ก็สแกนได้ง่ายๆ บริจาคได้ง่ายๆตามจำนวนที่ทุกคนอยากจะบริจาค มีหลายช่องทางนะครับ ลองดูในเพจของก้าวคนละก้าว"
ที่มา :คมชัดลึกออนไลน์