"คณะลูกขุนลงความเห็นว่า มอนซานโตกระทำโดยประสงค์ร้ายและบีบบังคับ เนื่องจากรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นเรื่องผิด และกระทำโดยขาดความยั้งคิดคำนึงถึงชีวิตคน" รอเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ หนึ่งในทีมทนายของจอห์สัน กล่าวและเสริมว่าคำตัดสินนี้จะส่งสัญญาณแรงไปถึงห้องประชุมบอร์ดของมอนซานโต
นับเป็นคำตัดสินประวัติศาสตร์ สำหรับคดีฟ้องร้องผลกระทบจากการใช้ยาฆ่าหญ้าที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทย ขณะมียังมีคำฟ้องทำนองเดียวกันอีกมากมายหลายร้อยที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาคดีในศาลระดับรัฐ และสหพันธ์
คดีของจอห์สันเปิดพิจารณาก่อน เนื่องจากหมอลงความเห็นว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ซึ่งรัฐแคลิฟอร์เนีย โจทก์ใกล้เสียชีวิตสามารถขอเร่งรัดการพิจารณาคดีได้
มอนซานโตประกาศยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน เพื่อปกป้องผลิตภัณฑ์ที่มีประวัติปลอดภัยตลอด 40 ปี และยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับเกษตรกร แต่ทนายของจอห์นสันกล่าวว่าการยื่นอุทธรณ์ จะยิ่งทำให้มอนซานโตต้องจ่ายแพง เนื่องจากจะต้องจ่ายดอกเบี้ยค่าชดเชยระหว่างรอการอุทธรณ์ ที่ตกประมาณ 25 ล้านดอลลาร์ต่อปี
จอห์นสัน เริ่มมีผื่นขึ้นผิวหนัง และหมอวินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจกินส์ เมื่อปี 2557 ขณะอายุ 42 ปี ทนายของเขากล่าวว่า ลูกความเป็นมะเร็งหลังจากฉีดพ่นราวด์อัพ กับ เรนเจอร์โปร ยาปราบวัชพืชอีกยี่ห้อของมอนซานโต ปริมาณมาก 20-30 ครั้งต่อปี ขณะทำงานเป็นคนทำสวนโรงเรียนแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก หลายครั้งที่สารเคมีฉีดพ่นมาโดนตัว และมีครั้งหนึ่งที่สายฉีดพ่นเกิดแตกทำให้ยาปราบวัชพืชอาบทั่วร่างกาย
สองประเด็นหลักที่ต่อสู้กัน คือ ราวด์อัพ เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหรือไม่ หากใช่ มอนซานโตผิดที่ไม่ได้เตือนผู้ใช้ถึงความเสี่ยงหรือไม่ ซึ่งผลปรากฎว่าคณะลูกขุนตัดสินเข้าข้างจอนห์สันทั้งสองประเด็น
มอนซานโต ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทไบเออร์ ของเยอรมนีเพิ่งซื้อกิจการไปในราคา 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยกผลการศึกษาหลายร้อยชิ้นยืนยันว่า สารไกลโฟเซต ในราวด์อัพ ปลอดภัย การป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจ์กิน จะต้องใช้เวลานานหลายปี ดังนั้น จอห์นสันจะต้องเริ่มป่วยมาตั้งแต่ก่อนมาทำงานที่โรงเรียนในปี 2555
ขณะนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชี้ผลกระทบของไกลโฟเซตต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ แต่สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (อีพีเอ) ระบุว่า ไกลโฟเซต สารเคมีหลักในราวด์อัพ ไม่น่าจะเป็นสารก่อมะเร็ง และไม่มีความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพมนุษย์เมื่อสารตัวนี้นำมาใช้เป็นยาปราบวัชพืช
แต่ในปี 2558 สำนักงานระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยมะเร็ง ขององค์การอนามันโลก จัดไกลโฟเซต อยู่ในหมวด สารอาจก่อมะเร็งต่อมนุษย์
ในปีต่อมา สำนักงานความปลอดภัยอาหารยุโรป สรุปว่าไกลโฟเซต ไม่เสี่ยงก่อมะเร็ง
ส่วนรัฐแคลิฟอร์เนีย จัดไกลโฟเซต อยู่ในกลุ่มสารเคมีก่อมะเร็ง