ซึ่งจะเคลื่อนตัวช้ากว่าพายุโซนร้อน โดยแนวพายุลูกใหม่นี้จะไปเกาะไหหลำ ส่งผลต่อไทยวันที่ 14 -15 ส.ค.นี้ อีกทั้งมีอิทธิมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทางฝั่งอันดามัน มาเพิ่มกำลังแรงขึ้นด้วย จะทำให้ฝนมากตลอดทั้งเดือนส.ค.ในแถบภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก ดังนั้นภายใน1 สัปดาห์ ต้องเร่งพร่องน้ำเขื่อนใหญ่และเขื่อนขนาดกลาง ที่เต็มความจุเขื่อนโดยเฉพาะภาคอีสานมีเขื่อนขนาดกลางจำนวนมาก รวมทั้งเขื่อนขนาดใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนน้ำอูน เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนปราณบุรี เขื่อนศรีนครินทร์ ที่มีนำ้เกินความจุ
"การปล่อยน้ำต่อไปควรประเมินว่าปล่อยน้ำเท่าไหร่ไม่ให้น้ำล้นเขื่อนซึ่งจะมีน้ำฝนมาเพิ่มด้วย และการบริหารเขื่อนที่ดี จะปล่อยให้น้ำเต็มล้นปิลเวย์ไม่ได้ ต้องบริหารจัดการก่อนหน้าฝน มันควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ พึ่งฝนอย่างเดียว เช่นเดียวกับเขื่อนแก่งกระจาน ฝนน้อยก็ท่วมน้อย ฝนมากท่วมมาก เพราะคุมไม่ได้"นายเสรี กล่าว
ผอ.ศูนย์ฯกล่าวว่าเขื่อนต่าง ๆ ที่มีน้ำเกินต้องเร่งระบายน้ำในช่วงนี้ เพื่อรับกับฝนมากกลางสัปดาห์หน้า เพราะน้ำจะเข้ามากขึ้นกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนวชิราลงกรณ เฝ้าระวังพิเศษตั้งแต่วันที่12-15 ส.ค.ซึ่งน้ำท่วมตัวเมืองได้ ในช่วงนี้ยังโชคดีฝนน้อย ก็ล้นน้อยแต่ว่าตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.ฝนมากขึ้น เขื่อนก็ล้นมากขึ้น ทั้งนี้ปลายปีมีสัญณานเป็นปีแล้ง ดังนั้นการปล่อยน้ำเขื่อนระดับใดต้องประเมินจุดนี้ด้วย
"เดือนนี้ฝนมากทั้งเดือน ยังมีลมมรสุมกำลังแรงมาเสริมพอเกิดพายุฝั่งตะวันออกแปซิฟิก เพิ่มให้แรงขึ้น แนวร่องฝนยังอยู่ภาคเหนือ อีสาน ตะวันตก ตะวันออก พอปลายเดือนส.ค.ต่อต้นเดือนก.ย.ร่องฝนลงมาตรงภาคกลาง ช่วงนั้นมีแนวโน้มเข้าสู่ปีแล้งปลายปี สถานการณ์กลับไปแล้งปลายปี เพราะมามีฝนมากเดือนส.ค. ตั้งแต่เดือนก.ย.ถึงปลายปีฝนมีแนวโน้มฝนจะลดลง ซี่งมีความเสี่ยงน้อยที่จะน้ำท่วมใหญ่แบบปี 54 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพายุที่จะเข้ามาตรง ๆหรือไม่ด้วย"นายเสรี กล่าว