ถ้อยแถลงของรัฐมนตรีศึกษาญี่ปุ่น มีขึ้นหลังจากหนังสือพิมพ์โยมิอูริ เป็นสื่อแรกที่รายงานเมื่อวานนี้ว่า มหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียว กดคะแนนผู้สมัครสอบหญิงมาตั้งแต่ปี 2554
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การทำเช่นนี้มาจากความเห็นพ้องกันว่า แพทย์หญิงมักลาออกจากงานเพื่อไปแต่งงานหรือเลี้ยงลูก ทำให้โรงพยาบาลขาดแคลนบุคลากร และหมอผู้ชายสนับสนุนงานของโรงพยาบาลมากกว่า
"นอกจากนี้ โดยทั่วไป ผู้สมัครหญิงก็มักทำคะแนนได้ดีกว่า เราจึงไม่สามารถเลี่ยงผู้หญิงสอบเข้าได้มากกว่าผู้ชายหากดำเนินการตามระบบปกติ"แหล่งข่าวกล่าว
รายงานระบุว่า ในปี 2553 ผู้สอบเข้าเป็นผู้หญิงราว 40% แต่เมื่อหันไปใช้ระบบโกง สัดส่วนลดลงเหลือเพียง 30% และในปีนี้ก็ลดลงอีก
ผู้สมัครผู้หญิงที่เข้าสอบ มีสัดส่วน 39% และสอบเข้าได้เพียง 18% ในบรรดาผู้สอบเข้าได้ทั้งหมด
โยมิอูริ ระบุว่า เรื่องนี้ถูกเปิดโปง ระหว่างการสอบสวนคดีที่มหาวิทยาลัยถูกกล่าวหารับสินบนแลกรับลูกชายเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาเข้าเรียน
( The Yomiuri Shimbun )
ข่าวนี้จุดกระแสไม่พอใจอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์ชาวอาทิตย์อุทัย และแวดวงการแพทย์เอง
โยชิโกะ มาเอดะ ประธานหญิงแห่งสมาคมการแพทย์ญี่ปุ่น บอกสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า รับไม่ได้ที่นักเรียนหญิงมาถูกตัดโอกาสการศึกษา เพียงเพราะพวกเธอเป็นผู้หญิง และเธอจะไม่ปะหลาดใจหาก พบว่ามหาวิทยาลัยเอกชนอื่นมีพฤติกรรมตุกติกแบบเดียวกัน เนื่องจากสถาบันการศึกษาเอกชนไม่ต้องเปิดเผยคะแนนสอบ กระบวนการคัดเลือกกระทำอยู่ในกล่องดำ ปลอดสายตาสาธารณชน
นับเป็นเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาล ภายใต้นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ มีนโยบายส่งเสริมสตรีออกมาทำงาน เพื่อเป็นหนทางหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะงักงัน ชดเชยประชากรสูงอายุและอัตราการเกิดต่ำ
ข้อมูลจากโกลแมน แซคส์ พบว่า สัดส่วนพนักงานหญิงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลายบริษัท อาทิ ผู้ผลิตรถยนต์ นิสสัน จัดเวลาทำงานแบบยืดหยุ่น ให้พ่อแม่ลาได้ และเปิดศูนย์ดูแลเด็ก เพื่อดึงดูดผู้หญิงทำงาน แต่บริษัทที่ยังแบ่งแยกเพศยังมีอยู่มากกว่า นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคอื่นสำหรับผู้หญิงทำงาน เช่น บริการดูแลเด็กยังมีเพียงพอ เพราะหน้าที่นี้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นของผู้หญิง อีกทั้งช่องว่างทางรายได้ก็ยังห่างกันอยู่ราว 25%