พ.อ.สุปกรณ์ เรือนสติ ผู้จัดการสำนักงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภายใต้การดูแลของกองกิจการพลเรือน มณฑลทหารบกที่ 33 เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้บริเวณป่าของอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า มักประประสบปัญหาไฟป่า และมีพื้นที่ทำนาแต่ดั้งเดิมราว 20 ไร่ ซึ่งเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวจะมีรายได้ประมาณ 60,000 บาท กระทั่ง ปี 2560 ได้มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตทหาร จึงได้มีแนวคิดใช้ประโยชน์จากแปลงนาข้าว ด้วยการทำสะพานไม้ไผ่ และกระท่อมให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักแรมได้ท่ามกลางต้นข้าวที่กำลังออกรวง จนกลายเป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวแห่มาถ่ายเซลฟี่เป็นจำนวนมาก และ 3 เดือนแรกในช่วงนั้น สามารถทำรายได้มากถึง 6 แสนบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้จากการทำนาข้าวอย่างเดียว มากกว่า 10 เท่า จึงเล็งเห็นมีความเหมาะสมพัฒนาให้เป็นจุดเซลฟี่ และอนุรักษ์ให้เป็นแปลงสาธิตการทำนาข้าวควบคู่กัน
ล่าสุด ได้สร้างหุ่นฟางยักษ์ขึ้นมา ในบริเวณหน้าแปลงนาข้าว โดยสร้างเป็นรูปคิงคอง ขนาดความสูง 4 เมตร กว้าง 2.30 เมตร โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 6 วันจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พ.ค.2561 ใช้ประมาณราว 70,000 บาท โดยทีมงานมาจากมหาวิทยาลัยราชมงคลเทคโนโลยีีอีสานเป็นผู้สร้างชิ้นงานนี้ ส่วนสาเหตุที่เลือกรูปคิงคองนั้น เพราะหมายถึงป่า และความอุดมสมบูรณ์ โดยจะถือได้ว่าเป็นหุ่นฟางคิงคองยักษ์ตัวแรกของจังหวัดเชียงใหม่ และจะเปิดตัวให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศได้เข้ามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกโฉมอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า จากที่พื้นที่ที่ประสบปัญหาไฟป่า กลายมาเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวได้ จากศักยภาพเดิมของพื้นที่ที่มีอยู่แล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น ในปี 2523 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จทรงเยี่ยมศูนย์เกษตรกรรมทหาร จังหวัดทหารบกเชียงใหม่ และได้ทรงทราบถึงปัญหาของการขาดแคลนน้ำ จึงได้มีพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นแห่งนี้ขึ้นมา กระทั่งต่อมากองทัพบก ได้มีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตทหารขึ้น เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน จึงได้ดำเนินการพัฒนาอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า ในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ด้วยการเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเล่นน้ำจนได้ ฉายาทะเลเชียงใหม่ และยังได้ทำพื้นที่ปลูกนาข้าวให้เป็นแหล่งเรียนรู้แก่เยาวชน จนเมื่อปี 2560 ได้เปิดตัวโครงการซูตองเป้เชียงใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างสะพานไม้ไผ่กลางทุ่งนา และมีสร้างกระท่อม และสร้างพื้นที่ลานกางเต็นท์ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเข้ามาถ่ายรูป และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ มีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนเข้าไปมากถึงวันละ10,000 คน จนปัจจุบันนี้ กลายเป็นแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่