"วาดะห์" แฉโดนกดดันก่อนใคร
ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 เมษายน นายซูการ์โน มะทา หนึ่งในแกนนำผู้ขอจดจัดตั้งพรรคประชาชาติของกลุ่มวาดะห์ กล่าวถึงกระแสดูดเข้าร่วมกับพรรคคสช.ว่า กลุ่มวาดะห์ถูกกดดันก่อนใครเพื่อนเสียอีก เพราะก่อนหน้านี้มีการนำจุดตรวจจุดสกัดมาตั้งหน้าบ้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา และนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีอยู่ แต่จากการทำแบบสำรวจความคิดเห็นในทุกๆ ด้าน ประชาชนในพื้นที่เห็นว่ากลุ่มวาดะห์ควรรวมตัวกัน เพื่อตั้งพรรคตามที่รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสไว้ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จ อีกทั้งกลุ่มวาดะห์และคนภาคใต้ต่างก็สนับสนุนประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ เชื่อมั่นระบอบรัฐสภาในการแก้ปัญหา
นายซูการ์โนกล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมครั้งแรกของพรรคประชาชาติ ยังต้องรอคสช.อนุมัติ โดยกลุ่มวาดะห์ทุกคนจะมาอยู่กับพรรคประชาชาติ เช่นเดียวกับนายวันมูหะมัดนอร์ ที่จะเป็นคีย์แมนของพรรคเรา นอกจากนี้ ก็จะมีการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นด้วย ส่วนยุทธศาสตร์การส่งผู้สมัครส.ส.นั้น เนื่องจากข้อจำกัดที่เป็นพรรคเล็ก คงจะส่งไม่ครบ 350 เขต แต่ก็จะพยายามส่งให้ได้มากที่สุดไม่ใช่แค่เฉพาะพื้นที่ภาคใต้หรือพื้นที่ที่ชาวมุสลิมอาศัยอยู่ เพราะประชาชาติ หมายถึงมวลมนุษยชาติ รวมถึงคนทุกศาสนิก ใครที่มีแนวคิดหรือประสบปัญหาเดียวกันสามารถมารวมกันได้หมด
พท.ซัดไม่ใช่ครรลองปชต.ไทย
วันเดียวกัน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ระบุการดูดอดีตส.ส.เป็นครรลองของประชาธิปไตยแบบไทยที่มีมานานก่อนยุคคสช.ว่า การดูดส.ส.ไม่ใช่ครรลองของประชาธิปไตยแบบไทย แต่อาจเป็นการใช้ทุกสรรพกำลังอำนาจที่มีอยู่แต่เพียงผู้เดียว กดดัน บีบบังคับให้นักการเมืองยอมศิโรราบเข้าให้การสนับสนุนด้วยสารพัดข้อต่อรองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจเข้ามาโดยกปปส.และเครือข่ายสร้างเงื่อนไขหาเหตุต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง จนคนกวักมือเรียกให้ทหารมาปฏิวัติทุกวันนี้ยังทะเลาะกันไม่เลิก ผ่านไป 4 ปี ปฏิรูปยังไง ย้อนยุคกลับไปเป็นการเมืองโบราณ ไม่สร้างสรรค์ พูดกลับไปกลับมา แม้ประชาชนพยายามจะเชื่อแต่ก็ไม่รู้จะเลือกเชื่อท่อนไหน การรับสภาพว่าไม่มีทางเลือกต้องกลับไปดูดนั้น แปลว่าการปฏิรูปไม่มีอะไรที่เป็นความก้าวหน้าหรือไม่ หรือเหตุผลที่ใช้อ้างเพื่อยึดอำนาจ แท้จริงแล้วเป็นเพียงข้ออ้างที่จะเข้าสู่อำนาจโดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง และเมื่อเข้ามาแล้วก็กระทำการทุกวิถีทางเพื่อการสืบทอดอำนาจเอาไว้ให้นานที่สุดหรือไม่
"คสช.มีเครื่องมือ มีองคาพยพ มีงบประมาณ ทำอะไรได้ทุกอย่าง และไม่เคยกลัวใคร แต่กลัวอย่างเดียว คือกลัวการเลือกตั้งหรือไม่ ไม่แปลกใจเลยที่นักการเมืองน้ำดีมีมาก แต่ที่ไปดูดมาแต่ละกลุ่ม แต่ละคนสภาพก็อย่างที่เห็น ก็สะท้อนกฎของแรงดึงดูด สิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน ท่านต้องตั้งคำถามทำไมนักการเมืองคุณภาพ นักการเมืองน้ำดีไม่ไปอยู่กับท่าน ทำไมที่ดูดมาจึงมีสภาพแบบนั้น เพราะนักการเมืองน้ำดีเขาคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือข้อต่อรองเฉพาะหน้าที่ไม่ยั่งยืน ประชาชนรอว่าเมื่อไหร่ปฏิบัติการดูดจะเสร็จสิ้น หรือต้องรออะไรในการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะมีการเลือกตั้ง เมื่อไหร่จะยกเลิกข้อห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม ปลดล็อกทางการเมือง ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 53/60 ยกเลิกข้อห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน" นายอนุสรณ์ กล่าว
จาตุรนต์ยก 10 เหตุผลค้าน
ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเหตุผลที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องต่อต้านคสช.สืบทอดอำนาจไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่ว่าประชาชนจะสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของคสช.หรือไม่ สนับสนุนนายกฯ คนนอกหรือไม่ ทั้งนี้เหตุผลที่ไม่ควรสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งอีก ก็เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำสิ่งต่างๆ ไว้ดังต่อไปนี้ 1.เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร 2.เป็นผู้นำในการทำรัฐประหาร ทำให้ประเทศถอยหลังและเกิดความเสียหายใหญ่หลวงตามมาโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ 3.เลื่อนการเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ไม่เป็นที่เชื่อถือในสายตาชาวโลกและชาวไทย 4.ทำให้เกิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและเป็นการวางระบบสืบทอดอำนาจเผด็จการยาวนาน
นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า 5.ไม่ปฏิรูปใดๆ แต่กลับวางยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปที่ล้าหลัง และให้มีผลไปอีกยาวนาน 6.ทำลายพรรคการเมืองและระบบพรรคการเมืองเพียงเพื่อประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจของตนเอง 7.ใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือย หวังผลในการปูทางไปสู่การเป็นรัฐบาล โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองหรือไม่ 8.จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาลได้ 9.ทำลายระบบในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นจนอ่อนแอไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีอิสระ ไม่เป็นกลางและไม่เป็นที่เชื่อถือ ทำงานอย่างลูบหน้าปะจมูก และ 10.จากหลายข้อข้างต้นและการขาดความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ประชาชนทำมาค้าขายไม่ได้ เดือดร้อนไปทั่ว และอาจเสียหายไปอีกยาวนาน หากปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจต่อไปยาวนาน ปัญหาต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ กับพวกได้สร้างไว้ย่อมไม่ได้รับการแก้ไข ขอต่อต้านคสช.สืบทอดอำนาจ
อัดขัดคำพูดที่สัญญาไว้กับปชช.
ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรมช.คมนาคม แกนนำพรรคเพื่อไทย ภาคอีสาน และ จ.นครราชสีมา กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีระบุการดูดส.ส.ของพรรค คสช.เป็นเรื่องปกติตามครรลองระบอบประชาธิปไตยนั้นว่า ถือเป็นสิทธิที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่มองว่าการกระทำลักษณะนั้นเป็นการเมืองแบบเก่าไม่ใช่มิติใหม่ที่คนไทยคาดหวัง ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาย้ำกับประชาชนคนไทยตลอดว่าจะคืนความสุขให้ประชาชนด้วยการปฏิรูปการเมืองไทยใหม่และไม่อยากให้นักการเมืองระบบเก่าๆ เข้ามาสู่รัฐสภาอีก แต่วิธีการที่ทำอยู่ในปัจจุบันตรงกันข้ามกับที่นายกฯ พูดโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็เชื่อว่า ณ วันนี้ประชาชนก็อยากจะเห็นโฉมหน้าการเมืองใหม่ที่จะเป็นความหวังในการแก้ปัญหาของประเทศได้
ต่อข้อถามกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จะลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ในเร็ววันนี้เป็นการหาเสียงและจะแสดงพลังให้เห็นว่าสามารถรวบรวมอดีตส.ส.จากหลายพรรคเข้ามาร่วมกับพรรคคสช.ได้นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ถือเป็นสิทธิของอดีตส.ส.ที่จะไปร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรี แต่สำหรับอดีต ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยเท่าที่ตรวจสอบล่าสุดไม่มีใครไปร่วมงานดังกล่าว โดยเฉพาะอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.นครราชสี มาทั้ง 10 คน ก็ยังอยู่กันครบไม่มีใครย้ายไปไหน อีกทั้งยังมีนักการเมืองหน้าใหม่ทั้งนักธุรกิจ คนรุ่นใหม่และอดีตข้าราชการบำนาญที่เคยสร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติแสดงความประสงค์เตรียมจะลงสมัครส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทยอีกหลายคนซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเปิดตัวได้ก็ต่อเมื่อคสช.อนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้
ไม่หวั่นอนุทินส่งส.ส.ลงแข่ง
ส่วนกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยประกาศความพร้อมจะส่งผู้สมัครส.ส.ใน จ.นครราชสี มาทั้ง 14 เขตเลือกตั้งนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีและเป็นทางเลือกของชาวโคราชในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็มีความพร้อมที่จะส่งผู้สมัครส.ส.ทั้ง 14 เขตไว้แล้วเช่นกัน และยังเตรียมผู้สมัครส.ส.ระบบไพรมารีโหวตไว้อีกด้วย ฉะนั้นทั้งความเคลื่อนไหวพลังดูดส.ส.ของพรรคคสช.และการประกาศความพร้อมของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือสร้างความหวั่นไหวต่ออดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยและฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยใน จ.นครราชสีมา แต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันอดีตส.ส.ของพรรคก็ลงพื้นที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาและพรรคก็เตรียมที่จะประกาศนโยบายหาเสียงที่จับต้องได้และแก้ปัญหาให้ประชาชนได้อย่างแท้จริงนำเสนอเมื่อถึงเวลา ซึ่งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ได้สร้างผลงานให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ตามที่หาเสียงกับประชาชนเอาไว้ ฉะนั้นจึงมั่นใจว่าเดิมที่นั่ง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยใน จ.นครราชสีมา เลือกตั้งล่าสุดปี 2554 เรามี 10 ที่นั่ง การเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคเพื่อไทยใน จ.นครราชสีมา จะได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนไม่น้อยกว่าเดิมแน่นอน
อัดอดีตส.ส.ไหลตามพลังดูด
นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อให้เกียรติประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองประเทศบ้าง โดยระบุว่า "ช่วงนี้มีข่าวความเคลื่อนไหวของอดีตส.ส.และกลุ่มการเมืองขยับปรับเปลี่ยนไปอยู่พรรคโน้นพรรคนี้มาก อาจเป็นเพราะคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 ที่กำหนดให้สมาชิกพรรคที่สังกัดแต่ละพรรคต้องยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคภายในวันที่ 30 เมษายนนี้ จึงมีการจับจ้องกันเป็นพิเศษว่าอดีต ส.ส.ของแต่ละพรรคใครยืนยันหรือไม่ยืนยันจะอยู่กับพรรคเดิมหรือไม่ เมื่อพ้นวันที่ 30 เมษายน แล้วถ้าไม่ยืนยันก็ถือว่าขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเดิมโดยไม่จำเป็นต้องยื่นหนังสือลาออกอย่างที่บางคนทำ (แก้เกี้ยว)
นายสามารถ ระบุต่อว่า ประเด็นที่พูดกันมากเหมือนจะบอกว่า การไม่อยู่กับพรรคเดิม มีปัจจัยเรื่องอื่นเข้ามาเป็นตัวแปรด้วย เช่น มีอำนาจพิเศษมากดดัน หรือมีการแลกเปลี่ยนด้วยอามิสสินจ้างตามที่สื่อต่างๆ เรียกว่ามีพลังดูดถ้าเกิดกรณีดังกล่าวจริงพอเข้าใจได้ เพราะนักการเมืองส่วนหนึ่งเข้ามาทำการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตน ของกลุ่มหรือครอบครัวเป็นหลัก พวกนี้ไม่คิดอะไรอยู่ตรงไหน อยู่กับใครแล้วได้ประโยชน์ในธุรกิจเขาก็ไป อีกพวกมีชนักปักหลัง กำลังถูก ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมในอดีตเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็หวังจะได้ผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง จึงยอมตามผู้มีอำนาจ
"ดีเหมือนกันครับ จะได้รู้ได้เห็นว่าใครเป็นใคร มีที่มาที่ไปมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร ใครเข้ามาในการเมืองเพื่อประโยชน์ของประชาชน หรือเพื่อประโยชน์ตนมากกว่าถึงวันเลือกตั้ง ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองประเทศที่แท้จริงจะเป็นผู้พิพากษาว่านักการเมืองคนไหน พรรคไหนที่เขาควรมอบความไว้วางใจให้ ใครควรถูกเขี่ยออกจากเวทีการเมืองดังนั้นจะเคลื่อนไหวหรือจะทำอะไรก็ขอให้เกียรติประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองประเทศกันบ้างครับ" นายสามารถระบุ
เสี่ยติ่งยันไม่ยึดโยงกลุ่มใด
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่โรงแรมมิลาเคิล แกรนด์ นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำผู้จัดตั้งพรรคพลังพลเมืองไทย (พพพ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่พรรค พพพ. ว่าวันนี้สมาชิกเราเกินกว่า 500 คนแล้ว เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด วันนี้ก็คึกคักพอสมควร ทั้งนี้วันนี้จะเป็นการรับรองข้อบังคับพรรค นโยบายพรรคซึ่งต้องยึดโยงกับยุทธศาสตร์ 20 ปีที่รัฐบาลกำหนด และที่สำคัญคือเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งวันนี้ดูแล้วสมาชิกอยากให้ตั้งให้ครบเลยทั้ง 35 ตำแหน่ง ทั้งนี้ นโยบายหลักของพรรคมีทั้งหมด 3 ประการ คือ 1.ต้องเทิดทูนสถาบันของชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.พยายามสร้างความปรองดอง และความสามัคคีของคนในชาติ และ 3.การลดความเหลื่อมล้ำของคนไทย
เมื่อถามว่าพรรคจะไม่ประกาศว่าเป็นพรรคของขั้วรัฐบาลเก่าหรือขั้วรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ นายสัมพันธ์ กล่าวว่า เป็นของพี่น้องประชาชนทุกคนที่มารวมกันวันนี้ ดังนั้นจะไม่ยึดโยงว่ากลุ่มใด พรรคใดที่จะเข้ามาบริหารหลังจากเลือกตั้ง หรือใกล้เลือกตั้งแล้วเราค่อยมาหาข้อสสรุปกัน ทั้งนี้ พรรคเราคงไม่ขนาดได้ส.ส.เป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว เราต้องการส.ส.ที่พอจะเสนอกฎหมายได้ก็พอใจแล้ว
ชี้ดูดนัการเมืองเป็นเรื่องปกติ
เมื่อถามถึงจุดยืนในการเสนอชื่อนายกฯ นายสัมพันธ์ กล่าวว่า อย่างที่บอกเป็นคนดี มีคุณธรรม เห็นแก่ประเทศชาติเป็นหลัก ดูแลความเหลื่มล้ำของประชาชนทั่วไป ซึ่งเราไม่ปฏิเสธหากจะมีการเสนอใครขึ้นมาเป็นนายกฯ ใครมีสิทธิตามธรรมนูญก็เป็นนายกฯ ได้ หากมีเสียงข้างมากในสภาคนนั้นก็เป็น ซึ่งพรรคเราก็อาจมีส่วนเป็นทั้งเสียงข้างมาก หรือเป็นส่วนหนึ่งในเสียงข้างน้อยก็ได้ในสภา แต่ถามถึงความจริงใจและความจริงจังในการทำงานของเราอยากเป็นฝ่ายตรวจสอบมากกว่า
ส่วนที่ถามถึงพลังการดูดนักการเมือง นายสัมพันธ์ กล่าวว่า มองว่าเป็นเรื่องปกติ เหมือนที่นายกฯ บอกว่ามีมาหลายสมัยแล้วเคยทำพรรคการเมืองมาหลายพรรค ช่วงที่ทำพรรคสามัคคีธรรมก็มีคนมาเชิญชวน แต่สมัยนั้นเขาคงไม่เรียกว่าดูด แต่อาจจะเรียกว่ามาเชิญชวน ตนฟังดูก็เป็นเรื่องที่สนุกสนาน ไม่ได้ซีเรียสอะไร เป็นเรื่องปกตอของคนที่ทำพรรคที่จะต้องดึงคนที่มีโอกาสเป็น ส.ส.เข้ามาในพรรคเพื่อให้ได้ ส.ส.มากที่สุด ซึ่งพรรคเราก็คงต้องดึงเหมือนกัน แต่ไม่อยากใช้คำว่าดูด ทั้งนี้ก็ต้องเชิญชวน ทั้งนี้มองว่าด้วยกฎหมายใหม่มองว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายไม่เกิน 5% ถือว่าน้อย เพราะส.ส.ทุกคนที่ตนรู้จักมีอุดมการณ์ คนที่จะเปลี่ยนแปลงย้ายพรรคนั้นมองว่ามีความจำเป็นเท่านั้นเอง เพราะหากไม่มีความจำเป็นเขาก็ต้องอยู่ที่เดิม
(ภาพจากอินสตาแกรมโอ๊ค พานทองแท้)
"โอ๊ค"โพสต์รูปแม้ว-ปูเหน็บพลังดูด
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย โพสต์ข้อความและรูปภาพในไอจี เป็นภาพ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี กับแก้วกาแฟพร้อมเขียนแคปชั่นเกี่ยวกับการดูด โดยรูปแรกนายพานทองแท้ได้โพสต์รูปภาพนายทักษิณ พร้อมข้อความระบุว่า พ่อกับอานั่งว่างๆ ระหว่างรอเครื่องบิน #กาแฟร้อนต้องใช้หลอดดูด #ยังไงหน้าก็ไม่หาย #สวยหล่อเหมือนเดิม #สภากาแฟ
(ภาพจากอินสตาแกรมโอ๊ค พานทองแท้)
องอาจชี้ดูดส.ส.ขัดเจตนารมณ์
ส่วนนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุว่าการดูดส.ส.เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยของไทยตลอดมา ว่าการดูดส.ส.คงไม่ใช่ครรลองประชาธิปไตยของไทยตามที่นายกฯ กล่าวอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและให้คนในรัฐบาล เพราะการดูดส.ส. ของคนในรัฐบาลที่กำลังทำอยู่ขณะนี้มีการต่อรองเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนให้ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อหวังให้คนเหล่านี้มาอยู่กับพรรคการเมืองที่กำลังจัดตั้งขึ้นในการสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ให้มีโอกาสเป็นนายกฯ หลังจากการเลือกตั้งทั่วไป การที่คนในรัฐบาลกำลังเคลื่อนไหวใช้อำนาจหน้าที่ของการเป็นรัฐบาลและใช้ผลประโยชน์ต่างๆ มอบให้ในการเจรจาต่อรองดูดส.ส.มาเข้าพรรคการเมืองที่กำลังจัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหลังการเลือกตั้ง น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า ถ้าคสช. รัฐมนตรี และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกต้องพ้นจากตำแหน่งคสช. รัฐมนตรี และสนช. ภายใน 90 วันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ สาเหตุที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเช่นนี้เพราะเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้คสช. รัฐมนตรี และสนช. ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
อัดนายกฯเล่นการเมืองแบบเก่า
"ถึงแม้คนในรัฐบาลจะไม่ไปสมัครส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้าแต่การใช้สถานะของความเป็นรัฐมนตรีดูดอดีตส.ส. เพื่อให้มาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. แล้วมาหนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไปอีกสมัยจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่เหมาะสมและขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ท่านนายกฯ ประกาศอยู่ตลอดเวลาว่าอยากเห็นการเมืองไทยพัฒนาดีขึ้น อยากเห็นการเมืองแบบใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วม อยากเห็นการเมืองที่มีธรรมาภิบาล เคารพหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่สิ่งที่ท่านนายกฯ และคนในรัฐบาลกำลังทำอยู่ขณะนี้ด้วยการดูดส.ส.เพื่อสืบทอดอำนาจไม่ใช่การเมืองแบบใหม่อย่างที่ท่านนายกฯ เคยพูดไว้อย่างแน่นอน แต่เป็นการเมืองแบบเก่าย้อนยุคเหมือนในอดีตที่ทหารยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหารแล้วต้องการสืบทอดอำนาจ ก่อตั้งพรรคการเมืองดูด ส.ส.มาหนุนตนเองให้เป็นใหญ่ต่อไปเหมือนกับยุคจอมพล.ป พิบูลสงคราม ก็มีพรรคเสรีมนังคศิลา ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ก็มีพรรคสหประชาไทย ยุคพล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็มีพรรคสามัคคีธรรม
นายองอาจกล่าวอีกว่า วันนี้มาถึงพล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจปฏิวัติรัฐประหารยังทำการเมืองแบบเก่าเพื่อสืบทอดอำนาจ แถมยังมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย ดังนั้นการดูดส.ส. เพื่อต่อท่ออำนาจย่อมไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาการเมืองไทย และระบอบประชาธิปไตยโดยรวมอย่างที่ท่านนายกฯ เคยพูดไว้แต่อย่างใด แต่จะกลายเป็นปมปัญหาต่อการพัฒนาระบบประชาธิปไตยและขยายปัญหาให้เพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคตอีกด้วย" นายองอาจกล่าว
ห่วงเลือกเหมือนเดิมไม่เป็นปชต.
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่โพลล์หลายสำนักสะท้อนคล้ายๆ กันว่าแม้จะเห็นด้วยที่จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็พ แต่ก็ไม่เชื่อมั่นว่าหลังเลือกตั้งสถานการณ์บ้านเมืองจะดีขึ้น โดยเฉพาะการจัดระเบียบจัดขั้วของกลุ่มก้อนและพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ในขณะนี้ถูกมองว่าเป็นคนที่สร้างปัญหาและทำให้การเมืองล้มเหลวซ้ำซาก อีกทั้งประชาชนยังไม่เห็นนวัตกรรมใหม่ ยังพบการดูดกวาดต้อน ย้ายข้างสลับขั้ว เปลี่ยนพรรคกันไปมากลุ่มการเมืองใหม่ๆ ก็ยังถูกมองว่าเป็นแค่นอมินีหรือลับลวงพรางอำนาจเก่า ทำให้ความคาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นคำตอบสุดท้ายของการเมืองไทยน้อยลง
นายสุริยะใส กล่าวว่า ถ้าพรรคการเมืองโหมกระแสต้านคสช.และชูการเลือกตั้งเป็นคำตอบ ก็ต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเมือง เช่น การเปิดตัวคนใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ รูปแบบกลไกพรรคใหม่ๆ พูดง่ายๆ ทุกพรรคทั้งเก่าและใหม่ต้องแข่งกันเสนอนวัตกรรมการเมืองใหม่ๆ เพราะเดิมพันสูงกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มา ยิ่งบางพรรคเสนอสูตรให้ประชาชนเลือกพรรคเอาทหารกับไม่เอาทหารหรือเอาพรรคประชาธิปไตยหรือฝ่ายเผด็จการ ยิ่งเป็นสูตรการเมืองที่ซ้ำเติมความแตกแยก ใช้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นแค่เหยื่อหรือตัวประกันของนักเลือกตั้งเท่านั้น แพ้ชนะก็ไม่ได้แก้ปัญหาประเทศอย่างแท้จริง
"ถ้าวาระการเลือกตั้งครั้งนี้กลายเป็นสภาวะที่ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องเลือกระหว่างพรรคที่เลวน้อยที่สุดกับพรรคที่เลวมากที่สุด การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนผ่านการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้" นายสุริยะใส กล่าว
สภาเปิดฟังความเห็นเข้าชื่อเสนอก.ม.
วันเดียวกัย นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้จัดทำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ...เพื่อรองรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 133 (3) และมาตรา 256 (1) ที่บัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งชื่อเสนอกฎหมายและบัญญัติขอแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 258 ค. ด้านกฎหมาย (4) ให้มีกลไกช่วยเหลือประชาชนในการจัดทำและเสนอร่างกฎหมาย และโดยที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 เห็นชอบแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและเห็นชอบหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)
เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกล่าวต่อว่า ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและมติครม. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จึงได้กำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ....โดยมีวิธีการรับฟังความคิดเห็น 2 ช่องทาง ดังนี้ 1.การรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร www.parliament.go.th และเว็บไซต์การรับฟังกฎหมายของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม www.lawamendment.go.th โดยมีกำหนดระยะเวลารับฟังความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน9 พฤษภาคม 2561 ผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นโดยเขียนลงในแบบแสดงความคิดเห็นออนไลน์บนเว็บไซต์ดังกล่าว 2.การส่งแบบสอบถามไปยังผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้วิเคราะห์และส่งหนังสือพร้อมแบบสอบถามไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.... ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับหนังสือและแบบสอบถามความคิดเห็นสามารถส่งความคิดเห็นได้ระหว่างวันที่ 20 เมษายน9 พฤษภาคม 2561 และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับตามที่อยู่ "สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขที่ 2 ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 (กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักการประชุม) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จี้ "บิ๊กตู่" เร่งกรมศุลฯแจงนาฬิกาหรู
ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. กล่าวว่า ตามที่ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 เพื่อขอให้ตรวจสอบการนำเข้านาฬิกาของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินการชำระภาษีถูกต้องตามขั้นตอนของกรมศุลกากรหรือไม่ จากนั้นสำนักงานปลัดกระทรวงการคลังได้ส่งหนังสือที่ กค 0203.4/6561 ลงวันที่ 24 เมษายน 2561 มาถึงตนโดยแจ้งว่าได้ประสานส่งเรื่องให้กรมศุลกากรเพื่อพิจารณาดำเนินการ ตรวจสอบเรื่องการชำระภาษีนำเข้านาฬิกาของพล.อ.ประวิตร และได้แจ้งผลมาถึงตนแล้ว แต่ปรากฏว่ายังไม่ได้รับทราบผลจากกรมศุลทั้งที่เวลาผ่านมา 3 เดือนนับตั้งแต่ยื่นเรื่องถึงนายกฯ จึงคิดว่าเรื่องนี้อาจมีปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำเกิดที่ต้องไปขอข้อมูลเพื่อตรวจสอบเรื่องภาษีจากพล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีและคสช. ดังนั้นขอให้นายกฯ กำชับสั่งการให้กรมศุลฯ แถลงความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อสาธารณชนว่าตรวจสอบการจัดเก็บภาษีไปถึงขั้นตอนใด และขอให้พล.อ.ประวิตร เปิดเผยด้วยว่ากรมศุลฯ ได้มาขอข้อมูลเรื่องนาฬิกาหรูแล้วจริงหรือไม่ และข้อมูลที่ให้สอดคล้องกับที่ให้ข้อมูลต่อกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า หากกรมศุลฯ ตรวจสอบแล้วขอให้แจ้งต่อสาธารณชนถึงมูลค่าของนาฬิกาแต่ละเรือน นำเข้ามาโดยการสำแดงถูกต้องหรือไม่ มีการแจ้งราคา CIF เท่าใด เสียภาษีนำเข้าพิกัดใด ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นเท่าใด ถ้าไม่มี รายได้แผ่นดินที่ขาดหายไปจะเป็นจำนวนเท่าใด ต้องคิดเบี้ยปรับและต้องคิดเงินเพิ่มเท่าใด อย่างไรก็ตามไม่ว่าเรื่องนี้ ป.ป.ช.จะดำเนินการหรือยังไม่ดำเนินการแต่เรื่องภาษีซึ่งเกี่ยวกับเงินแผ่นดิน เป็นรายได้ของแผ่นดิน มิอาจละเว้นการตรวจสอบได้
(ข่าวหน้า1นสพ.คมชัดลึก)