ตั้งแต่ช่วงเช้า ประธานาธิบดีมุนได้ต้อนรับนายคิม ที่สวมสูทเหมาและเดินทางมาถึงโดยรถยนต์ เมื่อเวลา 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 07.30 น. ตามเวลาในไทย ก่อนข้ามเส้นแบ่งเขตแดนทางทหารที่เรียกว่า เส้นขนานที่ 38 ไปยังฝั่งใต้ และชวนประธานาธิบดีมุนข้ามไปฝั่งเหนือ ก่อนจะข้ามกลับมาฝั่งใต้ด้วยกัน และเดินผ่านแถวทหารองครักษ์โบราณ ไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่ปันมุนจอม หมู่บ้านที่เป็นสถานที่ลงนามสงบศึกเมื่อปี 2496
การพบกันระหว่างสองผู้นำเกาหลี ที่อายุห่างกันถึง 31 ปี แสดงให้เห็นทั้งคู่ยิ้มให้กัน สบตากันด้วยไมตรีจิตต่อหน้าสายตาชาวโลกซึ่งตอนที่นายคิมเดินไปหาประธานาธิบดีมุน ใบหน้าของเขาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่เบิกบานอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เขาเดินข้ามแท่งปูนที่เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งสองเกาหลี เขาบอกว่า "ง่ายจัง" พร้อมกับพูดต่อว่า "ทำไมเราต้องรอถึง 11 ปี ถึงค่อยทำแบบนี้" ซึ่งเขาหมายถึงการประชุมสุดของสองเกาหลี ที่เปียงยาง เมื่อปี 2550
จากนั้น นายคิม ได้ลงนามในสมุดเยี่ยมที่อาคารสันติภาพ ระบุว่า "ประวัติศาสตร์หน้าใหม่เริ่มต้นขึ้นนับแต่บัดนี้, นี่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสันติภาพยุคใหม่" คิม จอง-อึน (27 เมษายน 2018)
การประชุมเริ่มเมื่อเวลา 10.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น เร็วกว่ากำหนด 15 นาที ซึ่งมีรายงานด้วยว่า เขาขนสุขภัณฑ์ส่วนตัวมาด้วย เพราะไม่อยากใช้ห้องน้ำสาธารณะ ตอนที่ไปถึงอาคารสันติภาพ นายคิมบอกด้วยว่า "ผมเดินมาประมาณ 200 เมตร" นายคิมกล่าวก่อนที่สื่อจะถูกขอให้ออกจากห้องประชุมว่า เรามาคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ที่ไม่เหมือนครั้งสุดท้ายที่เราไม่ประสบความสำเร็จ และต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ ผมอยากทำให้ได้อย่างที่ผู้คนพากันคาดหวัง" เขาบอกต่อมา "ผมมาที่นี่เพื่อส่งสัญญาณการเริ่มต้นของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยคำความคิดที่ตรงไปตรงมา จริงจังและซื่อสัตย์ ....ไม่สำคัญว่าข้อตกลงหรือแถลงการณ์จะออกมาดีแค่ไหน ถ้ามันถูกใช้อย่างไม่เหมาะสม มันก็จะนำไปสู่ความผิดหวัง"
ส่วนประธานาธิบดีมุน ได้ชื่นชมการตัดสินใจที่กล้าหาญของนายคิม ที่เดินข้ามไปยังฝั่งใต้ และหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจน ที่อาจจะเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่ชาวเกาหลีทั้งหมด รวมถึงประชาชนที่ต้องการสันติภาพด้วย ประธานาธิบดีมุน กล่าวต่อนายคิมว่า "ผมคิดว่าเราต่างรู้สึกเหมือนแบกภาระอันใหญ่หลวงไว้บนบ่า เมื่อคุณข้ามพรมแดนทหารมาเป็นครั้งแรก ปันมุนจอมก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ไม่ใช่สัญญลักษณ์ของการแบ่งแยกอีกแล้ว"
หลังการประชุมสุดยอดช่วงเช้าได้เสร็จสิ้น ผู้นำทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปรับประทานอาหารกลางวัน โดยนายคิมและคณะผู้แทนเดินข้ามไปฝั่งเหนือ แต่มีรายงานด้วยว่า เขาได้นำสุดยอดเชฟมาที่ปันมุมจอม เพื่อทำบะหมี่เย็นด้วย ซึ่งนายคิม ยังบอกด้วยว่า "เขาหวังว่า ประธานาธิบดีมุนจะเอร็ดอร่อยกับบะหมี่เย็นเปียงยางที่ห่างไกล" ก่อนจะบอกต่อว่า "โอ ผมไม่ควรพูดว่าไกล" ก่อนจะมีเสียงหัวเราะจากประธานาธิบดีมุนและเจ้าหน้าที่อีกหลายคน
จากนั้นในช่วงบ่ายนายคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และนายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ร่วมกันปลูกต้นสนที่เส้นแบ่งเขตแดนเพื่อสื่อถึงความปรารถนาสร้างสันติภาพและความมั่งคั่งบนคาบสมุทรเกาหลี ต้นสนต้นนี้เพาะขึ้นในปี 2496 ที่มีการลงนามข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวเพื่อยุติสงคราม 3 ปี และจุดที่ปลูกต้นไม้อยู่ใกล้ถนนที่อดีตผู้ก่อตั้งบริษัทฮุนได ชุง จู-ยุง ใช้เป็นเส้นทางขนส่งวัว 500 ตัวไปให้เกาหลีเหนือช่วงปลายทศวรรษ 1990 เพื่อใช้งานในการเพาะปลูก ส่วนดินที่ใช้ปลูกต้นไม้นำมาจากภูเขาฮัลลาในฝั่งเกาหลีใต้ และภูเขาแป็กตูในเกาหลีเหนือ และคิมรดน้ำด้วยน้ำจากแม่น้ำฮันของเกาหลีใต้ ส่วนมุนรดน้ำด้วยน้ำจากแม่น้ำแทดงของเกาหลีเหนือ ทั้งยังมีแผ่นหินสลักใต้ต้นสนนี้ว่า "การปลูกสันติภาพและความรุ่งเรือง" ซึ่งอยู่เหนือชื่อของผู้นำทั้งสองที่สลักบนแผ่นหินนี้ พร้อมลงวันที่ 27 เมษายน 2018
หลังจากเสร็จสิ้นการหารือในการประชุมสุดยอดร่วมกันครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 11 ปีของสองประเทศเแล้ว ประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ และคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ลงนามในปฏิญญาปันมุนจอม
ประธานาธิบดีมุน กล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกันว่า ทั้งสองเห็นพ้องที่จะยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการภายในสิ้นปีนี้ หลังจากสงครามที่ยืดเยื้อสามปีสิ้นสุดในปี 2496 ด้วยข้อตกลงสงบศึกชั่วคราว นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายประกาศเป้าหมายปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิง และคิม บอกด้วยว่า เกาลีเหนือและใต้จะรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งให้สัญญาว่า จะไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์เลวร้ายซ้ำรอยอีก
ทั้งสองยังตกลงที่จะรื้อฟื้นโครงการจัดวันรวมญาติเพื่อให้ญาติที่พลัดพรากสมัยสงครามเกาหลีได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 15 ส.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
ก่อนหน้านั้นทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แถลงสรุปผลการหารือภาคเช้าว่า สองผู้นำได้หารือกันอย่างจริงใจและจริงจังเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ การสร้างสันติภาพอย่างถาวร และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ นอกจากนี้โฆษกทำเนียบ เปิดเผยด้วยว่า ประธานาธิบดีมุนได้บอกกับนายคิมก่อนเริ่มการหารือสุดยอดว่า อยากพาผู้นำเกาหลีเหนือไปชมทัศนียภาพไกลขึ้นกว่านี้ หากผู้นำเกาหลีเหนือได้ไปเยือนทำเนียบประธานาธิบดีหรือ บลูเฮาส์ ซึ่งคิม ตอบรับว่าพร้อมไปเยือนบลูเฮาส์ทุกเมื่อหากได้รับเชิญ
นอกจากนี้สองผู้นำยังพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมระหว่างสองประเทศด้วย โดยผู้นำเกาหลีเหนือกล่าวชื่นชมคุณภาพของระบบรถไฟความเร็วสูงในเมืองพย็องชาง และหากประธานาธิบดีมุนจะเดินทางเยือนเกาหลีเหนือ อาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบาย เพราะระบบรถไฟในเกาหลีเหนือยังไม่ก้าวหน้าเท่า และเกาหลีเหนือจะเตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับการเยือนของผู้นำเกาหลีใต้ด้วยความสะดวกสบาย
ประธานาธิบดีมุน กล่าวว่า แนวคิดสร้างรถไฟความเร็วสูงถูกบรรจุไว้ในแถลงการณ์ร่วมของซัมมิตครั้งแรกในปี 2543 และครั้งที่สองในปี 2550 แต่ไม่ได้ดำเนินการใดๆในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับชื่นชมความกล้าหาญของผู้นำเกาหลีเหนือที่จะทำให้การเชื่อมโยงสองประเทศเกิดขึ้นได้ และหลังเสร็จสิ้นการหารือของสองผู้นำในภาคบ่าย รี ซอล-จู ภริยาของผู้นำเกาหลีเหนือ (ชุดชมพู) และคิม จุง-ซุก (ชุดฟ้า) ภริยาของผู้นำเกาหลีใต้ จะร่วมการสนทนากับผู้นำทั้งสองในอาคารสันติภาพ และร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วย
ด้านกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงวันนี้แสดงความชื่นชมสำหรับการตัดสินใจทางการเมืองและความกล้าหาญของผู้นำทั้งสองเกาหลี และบอกว่า การจับมือของทั้งสองคนที่เส้นแบ่งเขตแดนเป็นนาทีประวัติศาสตร์ พร้อมกับแสดงความหวังว่า ทั้งสองจะใช้โอกาสนี้เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่สู่เสถียรภาพระยะยาวบนคาบสมุทรเกาหลี