โดยที่นักลงทุนกังวลว่า อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2014 เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา อาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ หลังทิศทางบอนด์ยีลด์ระยะยาวอายุ 30 ปีพุ่งแตะ 3.19%
นอกจากนี้ ตลาดยังคงจับตาที่ปัญหาความขัดแย้งในสงครามการค้า โดยที่สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) เตรียมเดินทางไปยังจีน เพื่อหารือในประเด็นด้านการค้ากับทางการปักกิ่งในวันที่ 3 และวันที่ 4 พฤษภาคมนี้
1. อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.001% ขณะที่บอนด์ระยะยาวอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.19% โดยที่การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐ จะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดหุ้นทั่วโลก
นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จดจำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ของภาคธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยบอรด์ท้องถิ่น (Municipal bonds) และตันทุนเครื่องมือของตลาดการเงินในระบบที่สูงขึ้น
2, อัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะ 3% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปีนั้น จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ ได้้บั่นทอนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจนเกิดความผันผวนดิ่งตัวลง
ดัชนีดาวโจนส์ปิดวันอังคารที่ 24,024 ดิ่งลง 424.56 จุด หรือ 1.74% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,634 ร่วงลง 35.73 จุด หรือ 1.34% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,007 ร่วงลง 121.25 จุด หรือ 1.70%
3. นอกเหนือจากความกังวลว่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้น ยังอาจจะส่งผลลบต่อการลงทุนและการจ้างงานที่ลดลง รวมถึงลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค และนำไปสู่ภาวะซบเซาหรือถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งจัส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น
โดยสะท้อนจากหุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปิดตลาดร่วงลง 6.2% ท่ามกลางราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นในช่วงแรก หลังผลกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1 ของปีนี้อยู่ที่ระดับ 2.82 ดอลลาร์ มากกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 2.13 ดอลลาร์ และรายได้รวมอยู่ที่ 12,900 ล้านดอลลาร์ มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 12,100 ล้านดอลลาร์
4. ขณะที่ตลาดยังคงจับตาที่ปัญหาความขัดแย้งในสงครามการค้า ถึงแม้ว่า สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เตรียมเดินทางเยือนจีนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อเจรจาทางการค้า
ทั้งนี้ ทางการจีนได้ส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการปรับนโยบายตอบโต้สหรัฐให้มีความรุนแรงมากขึ้น หากสหรัฐยังเดินหน้ากดดันจีน รวมถึงมีการดำเนินมาตรการเพื่อสกัดกั้นการลงทุนและการค้าต่อไป อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดว่า การเจรจาด้านการค้าอย่างเป็นทางการอาจจะมีขึ้นในวันที่ 3 และวันที่ 4 พฤษภาคมนี้
5. ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยีนว่า สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง และโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) เตรียมเดินทางไปยังจีน เพื่อหารือในประเด็นด้านการค้ากับทางการปักกิ่ง
โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่จีนได้เดินทางมายังสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งได้มีการหารือกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับประเด็นการค้า ซึ่งเป็นการเจรจาระดับทวิภาคีด้านการค้า นอกรอบการประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก พร้อมแสดงความเชื่อมันว่า การเจรจาหารือทางการค้าในครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี