ผู้เชี่ยวชาญชี้ สหรัฐถล่มซีเรียแบบ "ยั้งมือ"

สหรัฐและรัสเซีย ใช้พื้นที่สื่อทุกแขนงประกาศวิวาทะข้ามโลกกันอย่างดุเดือด และรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มองว่ารัฐบาลมอสโกสมรู้ร่วมคิดกับการใช้อาวุธเคมีโจมตีพื้นที่กบฎในเมืองดูมา ชานกรุงดามัสกัส จนส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตจำนวนมากแต่ฝ่ายวางแผนของกระทรวงกลาโหม พยายามไม่แตะต้องสินทรัพย์ทางทหารของรัสเซียในซีเรีย การโจมตีเมื่อวันเสาร์ จึงเป็นการโจมตีที่มีขอบข่ายจำกัด เพราะการปะทะโดยตรงระหว่างตะวันตกและรัสเซียในซีเรีย อาจทำให้สงครามกลางเมือง 7 ปี เข้าสู่จุดพลิกผันใหม่ และอันตรายยิ่งกว่าเดิม

พล.อ.โจ ดันฟอร์ด ประธานเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐ แถลงว่า การโจมตีพุ่งเป้าไปยังจุดที่เกี่ยวข้องกับโครงการอาวุธเคมีของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดเท่านั้น ซึ่งได้แก่ ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ใกล้กรุงดามัสกัส คลังแสงทางตะวันตกของเมืองฮอมส์ และจุดที่สามคือคลังวัสดุและศูนย์บัญชาการในพื้นที่เดียวกันเป้าหมายทั้งหมดนี้ชัดเจนว่าเลี่ยงแตะต้องกำลังพลหรือยุทโธปกรณ์ของรัสเซีย และมอสโกสก็แถลงว่าไม่มีขีปนาวุธลูกใด ตกในบริเวณฐานทัพไฮม์มิมหรือฐานทัพเรือทาร์ทุส ทำให้ไม่ต้องเปิดใช้งานระบบป้องกันภัยทางอากาศสุดล้ำของตนเอง

กองทัพรัสเซีย ระบุว่า มีการยิงขีปนาวุธครูซ รวมถึงโทมาฮอว์ค 103 ลูก แต่ระบบป้องกันทางอากาศของซีเรีย ที่สร้างในสมัยสหภาพโซเวียต สกัดได้ 71 ลูก ส่วน กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ระบุว่าไม่มีพลเรือนหรือทหารซีเรีย เสียชีวิตจากการโจมตีครั้งนี้"เราคำนึงถึงความวิตกของรัสเซีย จึงเลือกเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงที่จะดึงกองกำลังรัสเซียเข้ามาพัวพัน" พล.อ.ดันฟอร์ด กล่าว

ในการแถลงข่าวประกาศการโจมตีซีเรีย ทรัมป์ กล่าวหาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และรัฐบาลรัสเซียว่าล้มเหลวในการรับประกันข้อตกลงปี 2556 ที่อัสซาดสัญญาจะกำจัดอาวุธเคมี การโจมตีครั้งนี้คือผลลัพธ์โดยตรงจากการที่รัสเซียล้มเหลวรักษาสัญญาแต่ทั้งดันฟอร์ด และเจมส์ แมททิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ย้ำว่าการโจมตีไม่มีเจตนาพาอเมริกาถลำลึกในสงครามซีเรีย เป้าหมายเมื่อวานนี้ คือมุ่งลดขีดความสามารถเครื่องจักรสงครามผลิตอาวุธเคมี การโจมตีจึงกินเวลาราวหนึ่งชั่วโมง ไม่มีแผนโจมตีเพิ่มอีก และไม่มีความพยายามขยายชุดเป้าหมายเกินไปจากนี้


ดันฟอร์ด กล่าวว่า กองทัพสหรัฐไม่ได้ประสานเป้าหมาย หรือแผนการใดกับรัสเซียก่อนการโจมตี แต่แจ้งมอสโกว่าจะยึดแนวทางเดิม คือลดขัดแย้ง ในการเลือกพื้นที่สหรัฐ ฝรั่งเศสและอังกฤษจะโจมตีอย่างไรก็ตาม ทำเนียบเครมลิน ประณามการกระทำอันก้าวร้าวนี้ และร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ประชุมฉุกเฉิน