
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา กล่าวว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ทางกรมควบคุมมลพิษเริ่มกระบวนการในการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ หลังจากมีคำพิพากษาของศาลปกครองมากว่า 5 ปี ซึ่งล่าช้าอย่างมาก
นายสุรพงษ์ รู้สึกเป็นห่วงในแผนการฟื้นฟูดังกล่าว เนื่องจากไม่มีการดูดตะกอนตะกั่วออกทั้งหมดในลำห้วย แต่ดูดเพียงไม่กี่จุด ทั้งแหล่งกำเนิดมลพิษคือโรงแต่งแร่เดิม ก็ไม่เอาตะกั่วที่มีอยู่ออกทั้งหมด ดังนั้นแม้สิ้นสุดแผนการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ในปี 2563 ลำห้วยคลิตี้และโรงแต่งแร่ก็ยังมีสารตะกั่วปนเปื้อน ซึ่งเป็นอันตรายต่อชาวบ้านและธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 ให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ซึ่งไหลมาจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำแม่กลอง ให้กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม รวมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 22 คนซึ่งเป็นผู้แทนของชาวบ้านคลิตี้เป็นเงินรายละ 177,199.55 บาท
นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า การฟื้นฟูที่ล่าช้าและทำไม่ถูกต้องครบถ้วนนี้ ไม่ใช่มีผลเฉพาะชาวบ้านคลิตี้ หรือสัตว์ที่อยู่บริเวณลำห้วย หรือชาว จ.กาญจนบุรี เท่านั้น ผลกระทบจากพิษสารตะกั่ว น้ำในลำห้วยคลิตี้ที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว ได้ไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลอง และผันลงสู่คลองมหาสวัสดิ์ เพื่อเป็นน้ำดิบที่นำไปผลิตน้ำประปาให้คนกรุงเทพฯและคนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาใช้ ซึ่งคนกรุงเทพฯและปริมลฑล อาจจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
กรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ จากการปนเปื้อนสารตะกั่ว มีระยะเวลาดำเนินการ 1,000 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ใช้งบประมาณเกือบ 600 ล้านบาท