ขณะที่คลื่น 850 และ 1800 MHz ที่อยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานระหว่างดีแทคกับบมจ.กสท โทรคมนาคม ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในวันที่15 กันยายน 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนของหน่วยงานภาครัฐว่าจะนำคลื่นดังกล่าวไปใช้งานในส่วนใดแต่บริษัทก็มีแนวทางที่จะหาคลื่นความถี่ใหม่เข้ามาทดแทน โดย DTAC จะนำคลื่นความถี่ 2300 MHz มาให้บริการรองรับการใช้งานของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้ความคืบหน้าของการลงนามในสัญญาการเป็นพันธมิตรคลื่นความถี่ 2300MHz กับ บมจ.ทีโอทีนั้น อยู่ระหว่างรออัยการสูงสุดพิจารณาร่างสัญญาระหว่างสองฝ่ายคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญากันได้ในเร็วๆ นี้ หลังจาก DTAC ชนะการยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและผลตอบแทนเพื่อเป็นคู่ค้าบริการคลื่นความถี่ 2300 MHz จำนวนแบนด์วิธ60 MHz ของทีโอทีเป็นระยะเวลา 8 ปี
ปัจจุบันบริษัทมีคลื่นความถี่ในครอบครองอยู่ทั้งสิ้น 50 เมกะเฮิร์ตซ์ ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับผู้ประกอบการค่ายโทรศัพท์มือถือรายอื่นๆและบริษัทยังคงเดินหน้าขยายโครงข่าย 4G ต่อไป โดยจะสร้างเสาสัญญาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคาดว่าในปีนี้จะลงทุนสร้างเสาสัญญาณเพิ่มอีก 4-5 พันต้น เพื่อทำให้สิ้นปีนี้จะมีเสาสัญญาณจำนวน2.5 หมื่นต้น เพื่อเป็นการปรับปรุงคุณภาพโครงข่ายรองรับการใช้งานของลูกค้ารวมถึงเป็นการรองรับการสิ้นสุดของสัญญาสัมปทาน
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทคาดว่าน่าจะทำได้ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 7.87 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.11 พันล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของลูกค้ารายเดือนที่น่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่มีการเติบโตราว2% ขณะที่ลูกค่าเติมเงินปรับตัวลดลง