ในช่วงนี้หลายคนยังรู้สึกได้ถึงลมหนาวถึงแม้จะเบาบาง แต่ก็... ยังดีกว่า 40 องศาที่เราเจอมาทั้งปี !อะไหนๆ บรรยากาศดี แบบนี้ เราควรหาอะไรที่มันชิลๆ เข้าบรรยากาศทำกันดีกว่าเฟรม ก็ขอพาทุกท่าน มาชิมผลไม้หมัก อิอินั้นก็คือ ... องุ่นหมักที่บ่มจนได้ที่ กลายเป็นไวน์รสเลิศ
ที่นี่ปลูกองุ่นไว้ทำไวน์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่เพราะฉะนั้นภาพที่เห็นเมื่อมาถึงก็คือ ไร่องุ่นเรียงรายเป็นแนวสวยงาม เพื่ออรรถรสในการดื่มเราจึงเลือกที่จะมาทำความรู้จักกับสายพันธุ์องุ่น รวมถึงวิธีการผลิตไวน์ของที่นี่กันก่อน
ทัวร์ไร่องุ่น ชมกรรมวิธี พร้อมเทสไวน์ของที่นี่เขามีบริการครบ ราคาเพียง 330฿ ต่อท่านระหว่างที่เรานั่งรถชมไร่องุ่นก็จะมีวิทยากรอธิบายไปเรื่อยๆ ชี้ให้เราดูนั่นดูนี้ ตลอดเวลาเราก็ถ่ายรูปตลอดเวลาเช่นกัน อิอิ
เอาเป็นว่าเขาจะเล่าตั้งแต่เริ่มแรกการปลูกองุ่นเพื่อการผลิตไวน์เกิดขึ้นในโครงการหลวง ส่วนที่แห่งนี้เริ่มปลูกองุ่นตั้งแต่ปี 1999 และเรื่มทำไวน์เมื่อปี 2009 มีทั้งองุ่นแดง และ องุ่นขาวองุ่นที่จะนำมาผลิตเป็นไวน์ต้องมีอายุมากกว่า 3 ปีขึ้นไปเพราะรสชาติจะนิ่ง ถ้าอายุอ่อนกว่านั้นก็จะนำไปทำเป็นน้ำองุ่นและจะเก็บเกี่ยวในช่วงกลางคืนเท่านั้น เพราะเป็นอุณหภูมิที่ดีพอเหมาะโดยองุ่นที่ไร่แห่งนี้จะออกผลเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้นในช่วงเดือนเมษายน จะตัดแต่งกิ่ง จนแทบไม่มีใบเหลือ พอเข้าช่วงเดือนตุลาคม ก็จะเริ่มมีใบแต่ถ้าอยากเห็นลูกองุ่น ต้องมาเดือนมกราคม เพราะเห็นองุ่นเปลี่ยนสีด้วย ส่วนช่วงเดือน กุมภาพันธ์ โดยปกติอากาศจะเริ่มร้อนแล้วฟังไปเพลินก็ถึงจุดให้หยุดถ่ายรูป เราเห็นลูกองุ่นเต็มไปหมด จึงหันไปถามพี่ไกด์ว่า ... ขอชิมได้ไหมพี่ไกด์ หัวเราะทันทีแล้วบอกว่า ... มันไม่ใช่องุ่นอย่างที่ขายตามท้องตลาดนะ ! เอ้า !!! จะแอบชิมสักนิดนึงอดเลย
ข้อแตกต่าง : องุ่นไวน์ vs องุ่นทานสดกรรมวิธีการปลูกต่างกันองุ่นไวน์จะไม่มีเนื้อ และจะหวานกว่า หรือ เปรี้ยวกว่า องุ่นทานสดถึง 3 เท่า ทำให้สามารถทานได้แค่ 3-4 ลูกเท่านั้นก็จะแสบคอ ทันที ... แฮร่ ! เอาเป็นว่าอย่าซนไปเด็ดมาชิมเชียวนะ จะหาว่าเฟรมไม่เตือน ^^ถัดจากไร่องุ่นก็มาถึงโรงบ่มไวน์ของ กรานมอนเต้ในห้องนี้ห้ามแตะต้องอุปกรณ์ทุกอย่างเพราะอาจเกิดอันตรายได้ เข้ามาถึงเราจะเห็นถึงไม้โอ๊คขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายเดินเข้ามาเราจะได้กลิ่นไม้ชัดเจนเนื่องจากถังโอ๊คที่จะนำมาบ่มไวน์ได้นั้นต้องมีอายุ 90 ปีและใช้ได้เพียงแค่ 4-5 ครั้งเท่านั้น ก็ไม่สามารถใช้การได้ จึงต้องจำหน่ายออกไป เช่น โรงเบียร์จะยังสามารถนำถังนี้ไปใช้ได้ต่อ
ภายในห้องอุณภูมิที่ค่อนข้างเย็นเนื่องจากห้องบ่มไวน์ต้องทำอุณหภูมิให้พอดีกับชนิดของไวน์อย่างไวน์แดงของที่นี่ต้องทำความเย็นที่ 18 องศา ส่วนไวน์ขาวความเย็นจะอยู่ที่ 8 องศาซึ่งที่นี่จะผลิตไวน์ได้ปีละประมาณ80,000-90,000 ขวดต่อปี แล้วแต่สภาพอากาศและ 80% ขายในประเทศ ส่วนอีก20% ส่งออกไปที่ฝรั่งเศส ฮ่องกง มัลดีฟ และ ฮ๊อกไกโดกำลังเพลิน รถก็เวียนมาจอดที่หน้า shop เต็มไปด้วยขวดไวน์นานาชนิด เราได้เจอกับ คุณวิสุทธิ์และคุณสกุณา โลหิตนาวี เจ้าของที่แห่งนี้ ออกมาต้อนรับพร้อมพูดคุยแนะนำไวน์ให้กับผู้ที่หลงไหลในรสชาติอย่างเป็นกันเอง ชอบแบบไหนบอกได้เลย ทั้ง 2 ท่านน่ารักมากๆ ยิ้มแย้มและพูดคุยอย่างสนุกสนานก่อนที่เฟรม จะโดนพี่ไกด์เรียกตัวเข้าห้องเทสไวน์
ได้เวลา !!! ที่ทุกคนรอคอย อิอิ เรามาเทสไวน์กันโดยในโปรแกรมนี้ จะได้เทสไวน์ทั้งหมด 4 ชนิดเราจะได้ชิมไวน์พร้อมกับทราบที่มาอย่างละเอียดรวมถึงคุณสมบัติว่าทานคู่กับอาหารชนิดไหนถึงจะเหมาะอื้อหืออออ ... เทสไวน์ไม่ต้องห่วงว่าจะมึนเมา เพราะปริมาณที่จะได้ชิมนั้นเพื่อการเทสลิ้มชิมรสจริงๆ
แต่ถ้ายังไม่หนำใจ ที่นี่ก็มีร้านอาหารไว้คอยบริการอีกด้วย บอกเลยว่า เนื้อสเต็กที่นี่เด็ดมาก รับประทานคู่กับไวน์ เข้ากันอย่าบอกใคร หรืออยากรับประมานอาหารประเภทไหน เขาก็จะมีคนคอยแนะนำว่า ไวน์ชนิดนี้ เหมาะกับอาหารประเภทไหน ... คือดี!!!
ส่วนเรื่องที่ใครหลายคนห่วงว่า ... ดื่มแล้วจะขับรถไม่ไหว ไม่ต้องห่วงเพราะที่นี่เขามีบริการที่พักด้วย แต่มีเพียงแค่ 7 ห้องเท่านั้นนะคะ บรรยากาศที่ได้นอนกลางไร่องุ่น อย่างกับฝันเลยหละค่ะ !
เห็นไหมคะ ภายในหนึ่งวัน เราทำอะไรได้ตั้งเยอะครบ จบ ในสถานที่เดียว ชิลแบบนี้ต้องรีบไปก่อนที่ลมหนาวจะหายไปนะคะ แต่... ที่จริงแล้ว ไม่ว่าฤดูไหนก็สามารถมาชิลได้นะ ^^ติดตามต่อได้ที่FB: @oneday with famframeIG : famframe