svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 400 จุด ต้อนรับการแถลงนโยบายประจำปี State Of The Union ของทรัมป์

31 มกราคม 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 400 จุด นับเป็นการปรับฐานเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนของหุ้นวอลล์สตรีท ต้อนรับการแถลงนโยบายประจำปี หรือ State Of The Union ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่อสภาคองเกรสในวันอังคาร และจากแรงเทขายของนักลงทุน ท่ามกลางความกังวลว่าเฟดอาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าคาดการณ์


เมื่อภาวะฟองสบู่มีการสะสมตัวมาอย่างต่อเนื่องกลับมาถูกจับตามองมากขึ้น หลังจากที่อัตราผลตอบแนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีขึ้นทะลุระดับ 2.733% เมื่อวันอังคาร ขณะที่เฟดกำลังอยู่ระหว่างการประชุม 2 วันซึ่งเป็นนัดแรกของปีนี้ แต่เป็นนัดสุดท้ายของเจเน็ต เยลเลน ในฐานะประธานเฟดก่อนก้าวลงจากตำแหน่งในการครบวาระวันที่ 4 กุมภาพันธ์

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย ได้ให้คำมั่นว่าจะนำการจ้างงานกลับสู่ชาวอเมริกันอีกครั้ง โดยกล่าวถึงหนึ่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จนับตั้งแต่ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง คือการสร้างงานใหม่ 2.4 ล้านตำแหน่ง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 45 ปี พร้อมเรียกร้องให้มีการลงทุนโดยชูแผนลงทุนเพื่อขยายด้านโครงสร้างพื้นฐานในวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์


1. หุ้นวอลล์สตรีทปรับฐานเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ต้อนรับการแถลงนโยบายประจำปี หรือ State Of The Union ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่อสภาคองเกรสในวันอังคาร โดยดาวโจนส์ปิดร่วงลงอย่างหนักลึกถึง 411 จุด ก่อนที่จะปิดตลาดดิ่งลง 362.59 จุด หรือ 1.37% ที่ 26,076 ขณะที่ S&P500 ปิดที่ 2,822 ร่วงลง 31.10 จุด หรือ 1.09% และ Nasdaq ปิดที่ 7,402 ร่วงลง 64.02 จุด หรือ 0.86%
ท่ามกลางความกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าคาดการณ์ เมื่อภาวะฟองสบู่มีการสะสมตัวมาอย่างต่อเนื่องกลับมาถูกจับตามองมากขึ้น หลังจากที่อัตราผลตอบแนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีขึ้นทะลุระดับ 2.733% เมื่อวันอังคาร นอกจากนี้ เฟดกำลังอยู่ระหว่างการประชุม 2 วันในวันที่ 30-31 มกราคม ซึ่งเป็นนัดแรกของปีนี้ แต่เป็นนัดสุดท้ายของเจเน็ต เยลเลน ในฐานะประธานเฟดก่อนก้าวลงจากตำแหน่งในการครบวาระวันที่ 4 กุมภาพันธ์



2. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย ได้ให้คำมั่นว่าจะนำการจ้างงานกลับสู่ชาวอเมริกันอีกครั้ง โดยกล่าวถึงหนึ่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จนับตั้งแต่ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง คือการสร้างงานใหม่ 2.4 ล้านตำแหน่ง ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 45 ปี

นอกจากนี้ สหรัฐจะพลิกสถานการณ์ด้านการค้าของประเทศให้กลับมาสดใสอีกครั้ง หลังจากที่ต้องถูกเอาเปรียบจากข้อตกลงการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ยุคสมัยของการยอมจำนนทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งสหรัฐคาดหวังว่าความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศต่างๆ จะเป็นไปอย่างยุติธรรม

ประธานาธิบดีทรัมป์ยังกล่าวถึงเป้าหมายที่จะลงทุนเกี่ยวกับทางด้านการพัฒนาและฝึกฝนทรัพยากรบุคคล พร้อมกับเรียกร้องภาคธุรกิจให้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนเพื่อขยายด้านโครงสร้างพื้นฐานในวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวยกย่องบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานรับใช้ชาติ ซึ่งรวมถึงทหารและอาสาสมัครที่อุทิศตนรับใช้ประเทศ โดยให้คำมั่นว่า จะดูแลบรรดาทหารผ่านศึกผู้กล้าหาญ รวมทั้งชาวอเมริกันทุกคนที่ควรได้รับการดูและได้รับความเคารพโดยเท่าเทียมกัน

สว่นทางด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ผู้นำสหรัฐกล่าวย้ำว่า การเปิดชายแดนก็ถือเป็นการเปิดทางให้ยาเสพติดและแก๊งอันธพาลเข้ามาในสหรัฐ



3. ท่ามกลางการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งทะลุ 2.733% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014

โดยที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การพุ่งทะลุระดับ 2.7% ของอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี จะนำไปสู่การพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 2.80% ต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนบอนด์อายุ 30 ปี ก็จะพุ่งสู่ระดับ 3.0% จะทำให้เฟดอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องมาจากจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวสูงขึ้น รวมถึงเงินเฟ้อจะดีดตัวเพิ่มขึ้นด้วย

สวนทางกับทิศทางเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง โดยที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ หรือ Dollar Index กลับร่วงลงแตะ 88.35 อีกครั้ง เนื่องจากแรงเทขายเงินดอลลาร์ของนักลงทุน



4. หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพ และกลุ่มพลังงาน เนื่องจากการประกาศเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของ Amazon, JPMorgan Chase และ Berkshire Hathaway ของ Warren Buffet ในการจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อบริหารจัดการและดูแลสุขภาพพนักงานของทั้ง 3 บริษัท

ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่ม Healthcare ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงลงอย่างหนักถึง 2% ฝนวันอังคารที่ผ่านมา โดยหุ้นในกลุ่ม Healthcare ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ Express Scripts ราคHolding Co. มีราคาดิ่งลง 8.8% ทันทีหลังเสียงระฆังเปิดตลาด ขณะที่ CVS Health Corpร่วงลง 5.6% และ Walgreens Boots Alliance Inc. ร่วงลงl 4.8% ส่วนในกลุ่มประกันภัยนั้น UnitedHealth Group Inc มีราคาร่วงลงเช่นกันที่ 4.5% หุ้น Cigna Corp. ดิ่งลง 6% และ Anthem Inc. ร่วงลง 5%

ทั้งนี้ การลงทุนในภาพรวมของหุ้นในกลุ่ม Healthcare ในรอบปี 2017 ที่ผ่านมาได้ให้ผลตอบแทนจากราคาที่พุ่งขึ้นมาถึง 32%.



5. ขณะที่หุ้นทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบเชิงลบร่วงลงราว 1% ทั้งในตลาดหุ้นยุโรปและเอเชีย ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 0.9% นำโดยดัชนี FTSE 100 ลอนดอนปิดที่ 7,587 ดิ่งลง.83.55 จุด หรือ 1.09% ส่วน DAX เยอรมันปิดร่วงลง 0.95% และดัชนี CAC-40 ฝรั่งเศสปิดร่วงลง 0.87%

แรงกดดันเนื่องจากการร่วงลงของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังจากอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นเอเชียร่วงราว 1% ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่มีการดีดตัวกลับ โดยมีราคาหุ้นกระเตื้องขึ้นระหว่าง 0.2-0.6% ในการเปิดตลาดเอเชียเช้าวันนี้ เช่นเดียวกับ Dowjones Futures ที่พลิกกลับมาเป็นบวก

logoline