ดอลลาร์ตกต่ำสุดในรอบ 5 ปี

นอกจากนี้ เมื่อเทียบค่าเงินดอลลาร์กับเงินบาทอยู่ที่ 31.69 บาทในเช้าวันนี้ โดยที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 2.63% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้


ขณะที่ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 26 มกราคมนี้ โดยเฉพาะในประเด็นสงครามการค้าที่กำลังเป็นเรื่องถกเถียงเนื่องมาจากการใช้นโยบาย America First



1. ทิศทางเงินดอลลาร์ตกต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากระดับ Dollar Index ร่วงหลุดดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่ 90 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2014 ลงมาที่ 89.87 ในเช้าวันอังคาร โดยเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2018 อยู่ที่ 92.24 เป็นการปรับตัวลดลงถึง 2.43% เมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ ในตะกร้าตั้งแต่ต้นปีนี้ ท่ามกลางความกังวลในเรื่องนโยบายการค้าของสหรัฐ

ทั้งนี้ Dollar Index เคยแข็งค่ามากสุดแตะที่ระดับ 103.01 ในวันที่ 23 ธันวาคม 2016 จากนั้นก็เงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงที่แตะระดับ Dollar Index ที่ 91.85 ในวันที่ 8 กันยายน 2017 หลังจากที่แตะระดับอ่อนค่ามากที่สุดครั้งหนึ่งที่ 80.53 ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2014 อย่างไรก็ตาม Dollar Index ได้ดิ่งลงไปต่ำสุดที่ระดับ 78 ระหว่างช่วงวิกฤติการเงินสหรัฐปี 2008-2009



2. สำหรับการเคลื่อนไหวของดอลลาร์จากตลาดค้าเงินในนิวยอร์กในช่วงค่ำวันจันทร์ จนถึงตลาดค้าเงินเอเชียช่วงเช้าวันนี้ เป็นการอ่อนค่าในทิซทางเดียวกัน โดยเงินดอลลาร์เคลื่อไหวที่ 1.23 ดอลลาร์ต่อยูโร เทียบกับเงินเยนที่ 109.85 เยนต่อดอลลาร์ และเทียบเงินปอนด์ที่ 1.40 ดอลลาร์

ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบเงินหยวนที่ 6.3938 หยวนต่อดอลลาร์นั้น เงิยหยวนแข็งค่าขึ้น 1.75% จากต้นปี 2018



3. นอกจากนี้ เมื่อเทียบค่าเงินดอลลาร์กับเงินบาทอยู่ที่ 31.69 บาทในเช้าวันนี้ โดยที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 2.63% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ เป็นการแข็งค่างต่อเนื่องหลังจากที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 9% ในปี 2017 เทียบกับสกุลเงินในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่แข็งค่าขึ้นโดยเฉลี่ย 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน

โดยที่ดอลลาร์เคยอ่อนค่าเทียบเงินบาทที่ระดับ 28.66 บาทในวันที่ 26 เมษายน 2013 ต่อมาในวันที่ 25 กรกฎาคม 2014 อยู่ที่ 31.85 บาท

โดยเงินบาทอ่อนค่าลงอีกแตะที่ 36.17 บาทในวันที่ 25 กันยายน 2016 และดีดกลับมาอยู่ที่ระดับ 32.57 บาทในวันที่ 29 ธันวาคม 2017



4. คำถามที่ตามมาจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงท่ามกลางข้อสงสัยในสงคราการค้าที่กำลังเริ่มขึ้นระลอกใหม่หลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในการตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 30% จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ เป็นการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่สำหรับใช้ในที่พักอาศัยและแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (แผงโซลาเซลล์) เพื่อปกป้องผู้ผลิตในสหรัฐ แต่จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตจากจีนและเกาหลีใต้

โดยที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวย้ำว่า การบังคับใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อที่เราจะนำธุรกิจกลับคืนสู่สหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จีนแสดงความไม่พอใจโดยระบุว่า ความเคลื่อนไหวของผู้นำสหรัฐครั้งนี้ เป็นการใช้มาตรการเยียวยาการค้าในทางมิชอบ โดยมีการสำรวจพบว่า จีนเป็นผู้ผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์รายใหญ่ที่สุดในโลก และยังส่งออกเครื่องซักผ้ามากกว่า 21 ล้านเครื่องในปี 2017 ซึ่งทำรายได้ถึง 3,000 ล้านดอลลาร์



5. ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ในสัปดาห์นี้ โดยที่สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เป็นตัวแทนของสหรัฐในการประชุมที่ WEF ครั้งนี้ ได้ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้แล้ว

การประชุม WEF จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม โดยมีประเด็นสำคัญที่พุ่งไปเกี่ยวกับการมุ่งเน้นการสร้างอนาคตร่วมกันบนโลกที่แตกร้าว

โดยที่ 11 ประเทศชั้นนำที่มีผู้นำบริหารประเทศ ซีอีโอชั้นนำ นักวิชาการ รวมถึงกลุ่ม NGO มาเข้าร่วมประชัมมากถึง 2140 คนนั้น มาจากทีมของสหรัฐ 780 คน จากอังกฤษ 266 คน สวิตเซอร์แลนด์ 233 คน อินเดีย 129 คน

จากจีนอีก 118 คน เยอรมนี 116 คน ฝรั่งเศส 93 คน ญี่ปุ่น 89 คน รัสเซีย 67 คน เนเธอร์แลนด์ 65 คน และจากสหนัฐอาหรับเอมิเรตส์ 65 คน