svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นโลกยังคงร้อนแรงเพราะภาวะ Overbought จากการโหมซื้อของนักลงทุน

10 มกราคม 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ตลาดหุ้นโลกยังคงร้อนแรงเพราะภาวะ Overbought จากการโหมซื้อของนักลงทุน ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วง Summer 1987 ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณการปรับฐานจาก MSCI World Equity Index ของราคาหุ้นอย่างน้อย 5% ในปีนี้ จากระดับราคาหุ้นปัจจุบันก็ตาม


ท่ามกลางตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท ยังคงปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อวันอังคาร โดยที่ดัชนี S&P 500 ยังคงพุ่งขึ้นถึงจุดใกล้เดือดในปีนี้ ขานรับมุมมองบวกเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนlสหรัฐ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารและหุ้นกลุ่ม Healthcare ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่เอเชียเปืดตลาดเริ่มมีแรงเทขายทำกำไรบ้างเล็กน้อย


แต่ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากที่คาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีจะบรรเทาลดน้อยลง หลังจากเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้หันหน้าเจรจากันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี โดยมีข้อตกลงเปิดสายด่วนด้านกิจการทหารตามแนวพรมแดนในวันนี้ พร้อมกับการที่เกาหลีเหนือตอบรับการส่งนักกีฬาเข้าร่วมเดินขบวนภายใต้ธงชาติเกาหลีในพิธีเปิดแข่งขันโอลิมปืกฤดูหนาวในเดือนกุมภาพันธ์นี้


1. ตลาดหุ้นโลกยังคงร้อนแรงเพราะภาวะ Overbought จากการโหมซื้อของนักลงทุน ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วง Summer 1987 เนื่องจากการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ การเงินของธนาคารกลางสหรัฐมาตั้งแต่ปี 2008 ด้วยการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายแบบสุดโต่ง หรือการทำ Monetize Everything ในทุกๆ ปัญหาเศรษฐกิจการเงินที้เกิดขึ้น รวมทั้งมุ่งเน้นไปที่ตลาดการเงินทั้งตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ที่เกิดฟองสบู่ร้อนแรงในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณเดือนจาก MSCI World Equity Index เข้าสู่การปรับฐานลงอย่างน้อย 5% ในปีนี้ก็ตาม 

ขณะที่รัฐบาลประเทศต่างๆ กลับตกอยู่ในภาวะที่มีการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะรัฐบาลสหรัฐที่มีการขาดงบประมาณสูงสุดมาตั้งแต่ปี 2014 จำนวน 500.000 ล้านดอลลาร์ ปี 2015 มีการขาดงบประมาณ 450,000 ล้านดอลลาร์ ปี 2016 ขาดดุล 600,000 ล้านดอลลาร์ และทะยานสูงสุดเฉียด 680,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 โดยล่าสุดปี 2018 มีการทำงบประมาณขาดดุลไว้ที่ปีละ 400,000 ล้านดอลลาร์ในยุคสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งยังไม่ไดนับรวมถึงภาระภาษีที่ต้องสูญเสียไปถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีจากนี้

 2.  ขณะที่ตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท ยังคงปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อวันอังคาร ขานรับมุมมองบวกเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่ม Healthcare ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากที่คาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีจะบรรเทาลดน้อยลง หลังจากเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้หันหน้าเจรจากันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี โดยมีข้อตกลงเปิดสายด่วนด้านกิจการทหารตามแนวพรมแดนในวันเดินนี้ พร้อมกับการที่เกาหลีเหนือตอบรับการส่งนักกีฬาเข้าร่วมเดินขบวนภายใต้ธงชาติเกาหลีในพิธีเปิดแข่งขันโอลิมปืกฤดูหนาวในเดือนกุมภาพันธ์นี้

ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในวันอังคารที่ 25,385 พุ่งขึ้น 102.80 จุด หรือ 0.41% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,751 เพิ่มขึ้น 0.13% และ Nasdaq ปิดที่ 7,163 เพิ่มขึ้น 0.09%



3.  ทางด้านนักวิเคราะห์ตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ได้ออกมาเติอนว่า สัญญาณต่างๆ ที่บ่งชี้วงตรของคลาดหุ้นที่อยู่ในขาขึ้นโดยมีการทำนิวไฮมาอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งจะส่งผลต่อดัชนี S&P 500 ให้ผลผลตอบแทนที่ลดลงในปีนี้ โดยที่เชื่องว่าเศรษฐกิจในปี 2018 จะยังไม่เกิดภาวะที่ถดถอย 

โดยที่ดัชนี S&P 500 ยังคงพุ่งขึ้นถึงจุดใกล้เดือดในปีนี้ แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดการปรับฐานลงถึง 5% ในช่วงต้นองปี 2018 นี้ เนื่องจากราคาหุ้นได้บ่งชี้การปรับตัวที่เกิดขึ้นมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา



4.  ขณะที่ Bank Of America (BofA) และ JPMoregan (JPM) ได้มีการประเมินตั้งแต่ปีที่ผ่านมามาว่า ในปี 2018 มีความดปฌนไปได้ที่จะเกิดภาวะตลาดบอนด์ที่เกิดการขาด Bond Supply จำนวน 1 ล้านล้านดอลลาร์ และอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2019

เนื่องมาจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของบรรดาธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ลดขนาดการอัดฉีดเงิน QE ในแต่ละเดือน รวมทั้งการลดภาระในงบดุล และก่ีปรับจึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ จะส่งผลให้บอนด์ยีลด์พุ่งขึ้นอีกครั้งจนแตะะระดับ 2.55% สำหรับบอนด์รัฐบาลสหรัฐที่มีอายุ 10 ปี



5.  สำหรับตลาดหุ้นเอเชียยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะมีบางตลาดที่มีการเทขายทำกำไรกันบ้างแล้ว โดยที่ดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกงมีการเทรดที่ระดับทะลุ 31,000 แล้วมาอยู่ที่ 31,223 เพิ่มขึ้นถึง 211.78 จุด หรือ 0.68% ในวันพุธ ถึงแม้ว่าจะมีแรงขายจาากตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดยที่ Nikkei 225 อ่อนตัวลงที่ 23,817 ลดลง  0.14% 

ส่วน Kospi ของเกาหลีใต้เทรดที่ 2,503 ลดลง 0.25% สวนทางดัชนีหุ้นไทยมีการเปิดเทรดสูงงขึ้นต่อเนี่องที่ 1,799 เพิ่มขึ้น 4.52 จุด หรือ 0.25% โดยทะลุเหนือระดับดัชนี 1,808 ในชั่วโมงแรกของการซื้อขาย ก่อนย่อตัวลงเทรดที่ 1,803 ช่วงเที่ยงวัน เพิ่มขึ้นจากวันอังคาร 7.93 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายมากกว่า 42,000 ล้านบาท

logoline