Goldman Sachs และ MSCI ส่งสัญญาณหุ้นสหรัฐอาจปรับฐาน
หุ้นสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณการปรับฐาน หลังจากที่ดัชนีหุ้นหลักทั้ง 3 ตลาดสหรัฐทำนิวไฮต่อเนื่องตั้งแต่เปิดเทรดวันปีใหม่เป็นต้นมา โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐพุ่งขึ้นถึง 2.8% เพียงช่วง 5 วันซื้อขาย ทั้งนี้ Goldman Sachs คาดว่าการปรับฐานราคาหุ้นอย่างน้อยที่ 5% อาจจะเกิดขึ้น เพราะหากมีการเคลื่อนไหวร้อนแรง้ป็นความเสี่ยงสูงขึ้นแบบนี้ ก็มีโอกาสแตะดัชนีที่เป็นเป้าหมายที่ระดับ 2,850 ในเร็วๆ นี้ แทนที่จะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้
ขณะที่ดัชนี MSCI World Equity Index มีความเป็นไปได้ที่จะปรับฐานในระยะยาวราว 5% จากในระดับปัจจุบัน ส่วน MSCI EM ที่เป็นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ก็อาจจะมีการปรับฐานลงราว 10% จากการเปรียบเทียบสถิติในอดีตที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่า บรรยากาศความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีที่ผ่อนคลายลง หลังจากที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เปิดประชุมเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีในวันนี้ ท่ามกลางความคาดหวังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งในช่วงก่อนและหลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวซึ่งจะมีขึ้นที่เกาหลีใต้ในเดือนกุมภาพันธ์
1. ดัชนีหุ้น S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8% นับจากต้นปีจนถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา พุ่งแตะระดับ 2,747 เข้าใกล้ระดับดัชนีที่นักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley คาดการณ์ไว้ในไตรมาสแรกปีนี้ที่ 2,750 และทะลุผ่าระดับดัขนี 2,650 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ HSBC ได้คาดไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ในปี 2017 ดัชนีหุ้น S&P 500 ได้ทะยานขึ้นถึง 175 จุด ส่งผลให้หุ้นสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณการปรับฐาน หลังจากที่ดัชนีหุ้นหลักทั้ง 3 ตลาดสหรัฐทำนิวไฮต่อเนื่องตั้งแต่เปิดเทรดวันปีใหม่เป็นต้นมา
โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐพุ่งขึ้นถึง 2.8% เพียงช่วง 5 วันซื้อขาย ทั้งนี้ Goldman Sachs คาดว่าการปรับฐานราคาหุ้นอย่างน้อยที่ 5% อาจจะเกิดขึ้น เพราะหากมีการเคลื่อนไหวร้อนแรง้ป็นความเสี่ยงสูงขึ้นแบบนี้ ก็มีโอกาสแตะดัชนีที่เป็นเป้าหมายที่ระดับ 2,850 ในเร็วๆ นี้ แทนที่จะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้
2. ขณะที่ดัชนี MSCI World Equity Index มีความเป็นไปได้ที่จะปรับฐานในระยะยาวราว 5% จากในระดับปัจจุบัน ส่วน MSCI EM ที่เป็นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ก็อาจจะมีการปรับฐานลงราว 10% จากการเปรียบเทียบสถิติในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนทางด้าน Goldman Sachs เชื่อว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มปรากฏชัดขึ้น หากดัชนีหุ้นโลกมียังคงมีแนวโน้มที่จะสร้างสถิติทำนิวไฮต่อเนื่องไปอีก
3. ท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีที่ผ่อนคลายลง หลังจากที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เปิดประชุมเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีในวันนี้ ท่ามกลางความคาดหวังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งในช่วงก่อนและหลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวซึ่งจะมีขึ้นที่เกาหลีใต้ในเดือนกุมภาพันธ์
การเจรจาในระดับสูงจัดขึ้นในเขตปลอดทหารในหมู่บ้านปันมุนจอม รวมทั้งแนวโน้มที่เกาหลีเหนือจะส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพยองซัง ของเกาหลีใต้ และอาจมีการหารือเพิ่มเติมในประเด็นอื่นๆ ทั้งนี้ รัฐมนตรีรวมชาติของเกาหลีใต้ ชี้ว่า แนวทางหารือจะพยายามลดความตึงเครียดด้านการทหารและประเด็นครอบครัวที่พลัดพรากเพราะสงคราม และดำเนินไปอย่างสงบ เพื่อทำให้การประชุมครั้งนี้เป็นก้าวแรกของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
4. ทั้งนี้ ตลาดหุ้นวอลล์ สตรีท ปิดตลาดผสมผสานกันเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดาวโจนส์พุ่งขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ยังคงเดินหน้าทำนิวไฮ จากแรงหนุนในหุ้นพลังงานและหุ้นอุตสาหกรรม
โดยดาวโจนส์ปิดที่ 25,283 ลดลง 12.87 จุด หรือลบ 0.05% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,157 เพิ่มขึ้น 0.29% และ S&P 500 ปิดที่ 2,747 เพิ่มขึ้น 0.17%
5. ดอลลาร์/เยนร่วงลงจากระดับ 113 มาแตะที่ะดับ 112 หลังมีข่าวธนาคารกลางญี่ปุ่นยุติการซื้อบอนด์ระยะยาวของรัฐบาลญี่ปุ่น หรือหยุดการ Tapers QQE ที่เข้าลงทุนในบอนด์รัฐบาลที่ครบกำหนดการไถ่ถอนคืน ซึ่งถือเป็นการดำเนินการครั้งแรกตั้งแต่ปี 2012
ภายใต้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบสุดโต่งของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่เรียกว่า QQEE หรือ Qualitative and Quantitative Easing เหมือนกับ QE ของธนาคารกลางสหรัฐ โดยที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการเข้าซื้อบอนด์รัฐบาล (JGBs) บอนด์เอกชน (Cor[orate Bonds) ก่ีลงทุนใน Japanese REITs ซึ่งเป็นตราสารการเงินโดยที่มีอสังหาริทรัพย์หนุนหลัง และ Equity ETFs การซื้อกองทุนลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
โดยส่งผลให้ผลตอบแทนในบอนด์ของ JGBs อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นที่ 0.065% และอายุ 30 ปีปรับตัวขึ้นที่ 0.830%.หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบมาก่อนหน้านี้