svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

Morgan Stanley Wealth Management เริ่มถอนเม็ดเงินการลงทุนจาก Junk Bonds

08 มกราคม 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

Morgan Stanley Wealth Management ได้ใช้กลยุทธ์บริหารการลงทุนโดยเริ่มถอนเม็ดเงินการลงทุนจาก Junk Bonds ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 1,805 เพิ่มขึ้น 10.15 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายร้อนแรงเกือบ 20,000 ล้านบาทในช่วง 40 นาทีแรกของการเปิดตลาด ขานรับดาวโจนส์ปิดเมื่อวันศุกร์ ที่ 25,295 พุ่งขึ้น 220.74 จุด หรือ 0.88% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,743 เพิ่มขึ้น 0.7% และ Nasdaq ปิดที่ 7,136 เพิ่มขึ้น 0.83%


ท่ามกลางความพยายามของเฟด รวมถึง ECB และ BOJ ที่จะพลิกฟื้นนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะที่เป็นปปกติ หรือ Nornalization ด้วยการลดภาระเม็ดเงิน QE ในงบดุลสู่ระดับใกล้เคียงระดับก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงินสหรัฐ

ด้าน IIF ฟันธงภาวะหนี้โลกที่ก่อตัวทะยานขึ้นจะกดดันให้ธนาคารกลางต่างๆ จะมีการปรับดอกเบี้ยในทิศทางที่เป็นขาขึ้นในปี 2018 นี้

1. ความพยายามของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมถึงธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะพลิกฟื้นนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะที่เป็นปปกติ หรือ Nornalization ด้วยการลดภาระเม็ดเงิน QE ในงบดุลสู่ระดับใกล้เคียงระดับก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงินสหรัฐ โดยการไม่เข้าแทรกแซงตลาดการเงิน ซึ่งเฟดนำร่องจะเริ่มกระบวนการลดภาระในงบดุล 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ลงเดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มปรีมาณเดือนละ 50,000 ล้านดอลลาร์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

นอกเหนือจากการอัดฉีดของทั้ง 3 ธนาคารกลางหลักแล้ว ยังมีธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ร่วมผสมโรงในการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลสูงถึง 20 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้เกิดสภาพคล่องเทียมในตลาดการเงินโลก จนผลักดันในราคาสินทรัพย์ทางการเงินพุ่งขึ้นทั้งในตลาดหุ้นโลกและตลาดบอนด์โลกจนพองตัวกลายเป็นฟองสบู่ในวันนี้



2. แต่ขณะเดียวกันก็ก็ทำให้เกิดการก่อหนี้จำนวนมหาศาลเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จนล่าสุด Institite of International Finance (IIF) ซึ่งเป็นองค์กรในเครือของธนาคารโลกชี้ว่าภาระหนี้ท่วมโลกสิ้นเดือนกันยายน 2017 พุ่งแตะ 233 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นถึง 16 ล้านล้านดอลลาร์จากสิ้นปี 2016 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 217 ล้านล้านดอลลาร์นั้น

ในท้ายที่สุดภาวะหนี้โลกที่ก่อตัวขึ้นจะกดดันให้ธนาคารกลางต่างๆ จะมีการปรับดอกเบี้ยในทิศทางที่เป็นขาขึ้น หลังจากที่หนี้ของภาคเอกชนที่ไม่ใช่สถาบันการเงินมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนสูงถึง 68 ล้านล้านดอลลาร์ รวมทั้งมีการก่อหนี้ในภาคครัวเรือนจำนวนมากถึง 44 ล้านล้านดอลลาร์



3. ท่ามกลางการเรียกร้องที่สวนกระแสของชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นช่วงปลายปีที่แล้ว แต่ต้องประสบกับปัญหาการบริหารเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวโดยวางเป้าหมายให้มีเงินเฟ้อที่ 2% โดยยังคงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตที่ดีได้

ผู้นำญี่ปุ่นเริ่มที่จะเรียกร้องอีกครั้งที่จะให้ BOJ เพิ่มการอัดฉีดเงิน QE ระลอกใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากที่พบว่าอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเมือเดือนพฤศจิกายนยังมีการขยายจัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.9% ที่ต่ำกว่าเป้าหมายมาก

ในวันนี้ ชินโซ อาเบะ กำลังเรียกร้องให้ BOJ สร้างปาฏืหาริย์ในผลงานของเขาเพื่อให้อยู่ในฐานะ Wink Wink ก่อนที่ปัญหาเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังไม่ได้มีการปฏิรูปแต่อย่างใด พลิกกลับมาซบเซาจนกระทบต่อเรตติ้งความนิยมจากชาวญี่ปุ่นตกต่ำอีกครั้ง



4. อย่างไรก็ตาม ตลอด 8 ปีที่ตลาดการเงินโลกต้องตกอยู่ในภาวะที่มีสภาพคล่องเทียมท่วมล้นจนเกิดความกดดันให้ธนาคารกลางต้องทบทวนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในอดีต โดยหัยมาใช้นโนยายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในปี 2018 นี้

โดยเฉพาะแรงกดดันที่ส่งผลให้เฟดประกาศเมื่้้อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอีก 3 ครั้งในปี 2019 จนส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั่น หรือ Fed Fund Rate ขึ้นไปยืนเหนือระดับ 3% ในช่วง 2 ปีข้างนี้ ทำให้ทีมงานเนียบขาวขิงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเร่งผลักดันกฎหมายปฏิรูปภาษี 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหวังให้เป็นปัจจัยกระตุ้นตลาดหุ้นที่ทำให้ดัชนีหุ้นในวอลล์ สตรีท พุ่งทำนิวไฮอย่างต่อเนื่องในปี 2017 จนดัชนีดาวโจนส์พุ่งทะลุระดับ 25,000 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว



5. ขณะที่ ECB และ BOJ ยังคงเลือกที่จะกดปุ่มนโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป สวนทางทางกับเฟดที่กำลังลดมาตรดารกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และลดภาระ QE ในงบดุล

ท่ามกลางสถานการณ์ของตลาดเงินโลกที่ยังคงไม่แน่นอนเนื่องมาจากนโยบายการเงินของบางธนาคารกลางขนาดใหญ่ ทางด้าน Morgan Stanley Wealth Management ได้ใช้กลยุทธ์บริหารการลงทุนโดยเริ่มถอนเม็ดเงินการลงทุนจาก Junk Bomds

ตรงข้ามกับทิศทางตลาดหุ้นโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้น โดยเช้าวันจันทร์ล่าสุด ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยบวกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น นำโดยดัชนี HSI ฮ่องกงเทรดที่ 30,814 เพิ่มขึ้น 78.16 จุด หรือ 0.25% รวมทั้งดัชนีหุ้นไทยพุ่งขึ้นร้อนแรงทะลุ 1,805 สูงสุดเป็นประวัติการณ์เพิ่มขึ้น 10.15 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายร้อนแรงเกือบ 20,000 ล้านบาทในช่วง 40 นาทีแรกของการเปิดตลาด

หลังจากเมื่อวันศุกร์ ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 25,295 พุ่งขึ้น 220.74 จุด หรือ 0.88% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,743 เพิ่มขึ้น 0.7% และ Nasdaq ปิดที่ 7,136 เพิ่มขึ้น 0.83%

logoline