หลังจากที่เราเดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองกันแต่เช้า เมื่อไปถึงสนามบินเมืองคอน เราก็รีบตรงดิ่งไปหาของกินเพิ่มพลังกันทันที ก็ "กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" นี่คะ โบราณว่าไว้
พูดถึงเรื่องของกินที่นี่... มาถึงภาคใต้ แหล่งสะตอกันทั้งที ก็ต้องห้ามพลาด "สะตอกุ้งผัดกะปิ" แถมรอบนี้ เรายังได้กิน "หมี่ปากพนัง" กันด้วย รสชาติก็คล้ายๆ ผัดหมี่โคราชแหละค่ะ แต่จะออกหวานข้นกะทิมากกว่า อ่อ... ที่นครศรีธรรมราช ยังเป็นแหล่งเดียวของไทยที่ทำมังคุดคัดออกมาขายด้วยนะคะ รสชาติก็จะกรุบๆ กรอบๆ ใครมาเยือนถึงถิ่น ก็ควรจะอุดหนุนของดีของคนท้องถิ่นกันด้วยค่ะ
อิ่มหมีพีมันกันแล้ว เราจึงเดินทางไปเยี่ยมชม "ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ" ที่นี่ถือเป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9" ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวที่เดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำเค็ม โดยประตูระบายน้ำดังกล่าว สามารถบริหารจัดการแยกน้ำจืด น้ำเค็มออกจากกัน นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา
แวะมากินลม ชมวิวกันต่อที่ "โครงการสวนกังหันลมเลียบชายฝั่ง" โครงการนี้ เป็นการลงทุนของภาคเอกชน อย่าง บ.อินเตอร์ ฟาร์อีส วินด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ได้รับรางวัลดีเด่น Thailand Energy Awards 2017 จากกรมพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)
ความโดดเด่นของโครงการนี้ คือการออกแบบพื้นที่ให้กลมกลืนกับระบบนิเวศชายฝั่ง หลังจากสภาพพื้นที่เดิมเคยเป็นนากุ้งรกร้างและยังเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมมีปัญหาเรื่องการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่ง และจากการบริหารจัดการ พัฒนาพื้นที่ให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานสะอาดขนาด 10 เมกะวัตต์ จากกังหันลมขนาดใหญ่ จำนวน 4 ต้น เพื่อจำหน่ายส่งต่อไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเพื่อให้มีปริมาณไฟฟ้าใช้ได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ แนวทางการพัฒนาโครงการพื้นที่ดังกล่าวในอนาคต ก็จะมีการก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานทดแทน, สวนสาธารณะ, ลานกิจกรรมเอนกประสงค์ และอื่นๆ ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันการสร้างรายได้กลับคืนให้ผู้คน ชุมชนในท้องถิ่นปากพนังได้เพิ่มขึ้น
ดร.สุเมธ สุทธภักติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการกังหันลม ได้ศึกษาศักยภาพลมในพื้นที่เกือบ 3 ปี ก่อนจะตัดสินใจริเริ่มโครงการ
และนี่ คือ ภาพกังหันลมที่ของจริงมีขนาดใหญ่มากๆ ตัวเสาของกังหัน สูงถึง 90 เมตร ส่วนความกว้างของเส้นผ่านศูนย์กลางใบพัดนั้น มีขนาด 121 เมตร..... เฉพาะในปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา กังหันลมทั้ง 4 ต้นนี้ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมได้ถึง 18.9 ล้านหน่วย แถมยังช่วยลดการปล่อยก๊าศเรือนกระจกได้ถึง 10,579 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์
-----
เสร็จสิ้นภารกิจไป 1 วัน ได้เวลาพักผ่อนแล้วค่ะ เรามาพักกันที่โรงแรม ทวิน โลตัส..... ชื่อโรงแรม กับภาพดอกบัวคู่ที่การ์ดเปิดประตูห้องพัก เหมือนกับตรายี่ห้อยาสีฟันเลย !!! เข้าห้องน้ำมา เจอยาสีฟันยี่ห้อเดียวกับที่ว่า สงสัยเจ้าของโรงแรม คงจะเป็นเจ้าของเดียวกันกับ ยาสีฟันตรานี้แน่ๆ แวะลงมาเดินเล่นที่ล็อบบี้ เลยได้คุยกับพนง.โรงแรม สรุปว่า เป็นเจ้าของเดียวกันจริงๆ ค่ะ
เราไม่ใช่คนท้องถิ่นนี่นะ แต่พอได้สังเกตจากสิ่งรอบตัวแล้วก็พอจะเดาได้ ส่วนภาพรวมของการบริการ ห้องพัก ของโรงแรมนี้ ก็โอเคดีค่ะ
......
เช้าวันรุ่งขึ้น เราเดินทางไปไหว้สักการะวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนเมืองคอน นั่นก็คือ "วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร" วัดนี้ มีความสวยงาม และยังเป็นที่นับถือของคนท้องถิ่นมากๆ
กรุ๊ปเราโชคดีมากๆ ค่ะ เพราะนอกจากจะได้ไหว้สักการะขอพรจาก "พระธาตุ" คู่บ้านคู่เมืองแล้ว เจ้าอาวาสของวัดนี้ ท่านยังใจดีพรมน้ำมนต์และมอบสายสิญจน์ให้
ความแปลกตาของดอกไม้ไหว้พระที่นี่ ก็อย่างที่เห็น
ดอกดาวเรืองพันกับใบเตยแบบนี้ ดูสวยงามดี ต่างจากที่กรุงเทพ.....
ว่าแล้วเราก็เดินทางต่อมาที่ "วัดเจดีย์" วัดนี้ เป็นอีก 1 วัดดังที่มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา ว่ากันด้วยเรื่องของวิญญาณเด็กอายุราวๆ 10 ขวบ ที่ชื่อ "ไอ้ไข่" หลายคนบอกว่าน่าจะเป็นวิญญาณเด็กที่มีความผูกพันกับวัดนี้ หรือเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน ใครที่เคยเห็น "วิญญาณเด็ก ไอ้ไข่" แล้วขอพร ขอหวย ต่างก็ร่ำรวย ถูกหวย สุข สมหวังไปตามๆ กัน ผู้คนต่างพูดกันปากต่อปาก เลื่อมใสศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น จึงได้ซื้อตุ๊กตาไก่มาถวายให้ไอ้ไข่ที่วัดจนละลานตาเต็มไปหมด
นอกเหนือจากความเชื่อและความศรัทธาในตัว "ไอ้ไข่" แล้ว หลายๆ คนที่เป็นนักแสวงโชค หรือคอหวย ก็ยังชื่นชอบและศรัทธา ในการตามล่าขูดหาเลขเด็ดจากต้นตะเคียนภายในวัดด้วยเช่นกัน