นายสามารถระบุอีกว่า ก่อนที่บีทีเอสจะเดินรถได้ จะต้องจัดหารถไฟฟ้า และติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร ระบบตั๋ว และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โดยเคทีได้ทำสัญญาว่าจ้างบีทีเอสให้จัดหารถไฟฟ้าและอุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งบริหารจัดการเดินรถ และซ่อมบำรุงรักษา เป็นระยะเวลา 25 ปี เป็นจำนวนเงินประมาณ 176,600 ล้านบาท บนเส้นทางช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 12.58 กม. และเส้นทางช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต ระยะทาง 18.20 กม. รวมระยะทางทั้งหมด 30.78 กม. หากคิดค่าจ้างต่อระยะทาง 1 กม. และต่อระยะเวลา 1 ปี จะได้เท่ากับ 229.50 ล้านบาท ต่อ กม. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบค่าจ้างดังกล่าวกับค่าจ้างที่ รฟม.ว่าจ้างให้บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีเอ็ม ทำงานเหมือนกัน ซึ่งประกอบด้วยจัดหารถไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบริหารจัดการเดินรถ และซ่อมบำรุงรักษารถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-บางใหญ่ ระยะทาง 23 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 30 ปี เป็นเงินรวม 82,624.75 ล้านบาท หรือคิดเป็น 119.75 ล้านบาท/กิโลเมตร/ปี จะเห็นได้ว่าค่าจ้างใน 1 ปีของบีทีเอสแพงกว่าค่าจ้างบีอีเอ็มมากถึง 109.75 ล้านบาท ต่อ กม. หรือคิดเป็น 91.6%
"ค่าจ้างที่แพงกว่ากันมากมายเช่นนี้เป็นเรื่องชวนสงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และที่สำคัญ เงินที่เคทีจ้างบีทีเอสนั้นเป็นเงินที่ได้รับมาจาก กทม. ซึ่งเป็นเงินภาษีของพวกเราทุกคน ด้วยเหตุนี้ ผู้เกี่ยวข้องใน กทม.ไม่ควรอยู่นิ่งเฉย จะต้องออกมาชี้แจงให้กระจ่างชัด หากเห็นว่าเป็นสัญญาที่ กทม.เสียเปรียบจะต้องสั่งการให้เคทีทบทวนสัญญาระหว่างเคทีกับบีทีเอสเสียใหม่ให้เกิดความเป็นธรรม อย่าปล่อยให้พี่น้องประชาชนต้องมาแบกรับภาระหนี้ก้อนโตโดยไม่จำเป็นเลย"นายสามารถระบุ