ชงปฎิรูปตำรวจ ดึง อัยการร่วมสอบคดีสำคัญ

การเสวนาใช้หัวข้อว่า "ปฏิรูปงานสอบสวนให้ยุติธรรมกับประชาชน" โดยมีวิทยากรมาจากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง เริ่มจากทนายความ นายเกิดผล แก้วเกิด ตั้งข้อสังเกตว่า การแยกหน่วยงานสอบสวนออกเป็นหน่วยงานเฉพาะที่เป็นอิสระ หรือจะยังให้อยู่ในระบบบังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ทำอย่างไรให้พนักงานสอบสวนมีอิสระในการทำงาน เพราะถึงแม้จะมีองค์กรของตัวเอง แต่ก็ต้องมีสายงานบังคับบัญชาอยู่ดี นี่จึงเป็นโจทย์ที่ต้องให้คณะกรรมการปฏิรูปคิดหาทางแก้

พลตำรวจตรี มนตรี ยิ้มแย้ม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะที่ทำงานอยู่ในองค์กรที่กำลังถูกปฏิรูป มองว่า ปัญหางานสอบสวนที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องตัวบุคคล นอกจากนั้นกระบวนการยุติธรรมต้องให้ความสำคัญไปที่การป้องกันการกระทำผิด ซึ่งหมายถึงจิตสำนึกของประชาชนด้วย และหากเป็นไปได้ การให้ประชาชนมีตัวเลือกในการร้องทุกข์ ก็จะป้องกันการทำงานแบบเบ็จเสร็จของตำรวจฝ่ายเดียว โดยเสนอว่าให้แต่ละจังหวัดมีทั้งตำรวจ ดีเอสไอ และฝ่ายปกครอง ที่สามารถรับเรื่องร้องทุกข์ได้ และให้ประชาชนเลือกเองว่าจะเข้าหาใคร 

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการเสวนาวันนี้ คือการให้อัยการเข้ามามีส่วนร่วมกับการคลี่คลายคดี ตั้งแต่ขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน โดย นายปกรณ์ ธรรมโรจน์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด มองว่า ปัจจุบันตัวบทกฎหมายและรูปคดีมีความซับซ้อนขึ้น และคดีเกิดขึ้นในหลายท้องที่ต่อเนื่องกัน การส่งไม้ต่อจากพนักงานสอบสวนมาให้อัยการ อาจทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในสำนวนนั้นๆ อัยการกับพนักงานสอบสวนจึงควรร่วมกันทำงาน เพื่อจะได้ช่วยเหลือกันในการรวบรวมพยานหลักฐานและวิเคราะห์ข้อกฎหมาย โดยอาจใช้โมเดลแบบที่ดีเอสไอใช้อยู่ คือกำหนดกรอบในการเข้ามาช่วยงานของอัยการตามรูปแบบและความซับซ้อนของคดี

แนวคิดนี้สอดคล้องกับความเห็นของ ที่ปรึกษา police watch พันตำรวจเอก วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ที่บอกว่า เหตุผลที่อัยการควรเข้ามาตรวจสอบการสอบสวน โดยเฉพาะคดีสำคัญๆ ก็เพื่อให้อัยการเห็นสำนวนทั้งหมดก่อน พยานหลักฐานต่างๆ จะได้ครบถ้วน  การมีหน่วยงานอื่นเข้ามาช่วย จะทำให้ไม่มีการปกปิดและผูกขาดการทำงานอยู่ที่ตำรวจฝ่ายเดียว