"ยังไม่ได้มีสัญญา ยังไม่ได้จัดซื้อ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยแม้จะอ้างว่าได้ตัดเสื้อโปโล 2 แสนตัวแล้ว แต่หากไม่ดำเนินตามขั้นตอนและระเบียบของกทม. ส่วนนี้อยากให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบข้อเท็จจริงด้วย คือ ต้องทำตามระเบียบของกทม.เท่านั้น ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ผมจะควักเงินจำนวน 49.6 ล้านบาทไปซื้อทันทีคงไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและประกาศหาผู้รับจ้าง ขั้นตอนก็ยังไม่มีอะไร มีแต่ทางบริษัท ยังแมนสปอร์ต จำกัด มาเสนอขอขายเสื้อโปโลให้ รวมถึงกทม.ก็ยังไม่มีเงินมหาศาลที่จะสั่งจัดซื้อด้วย ความจริงไม่ต้องไปร้องเรียนยังทำเนียบรัฐบาลหรอก ผมขอเสนอให้ทางบริษัทไปฟ้องศาลให้ดำเนินการได้เลยว่า พล.ต.อ.อัศวิน ทำให้ทางบริษัทเสียหาย ขอให้ฟ้องผมไปเลย" พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว และระบุว่า บริษัท ได้อ้างว่าได้ทำสัญญากับอดีตผู้ว่าฯกทม.ไว้แล้วเมื่อปี 2558 ซึ่งตนได้แจ้งว่า ในส่วนนั้นเป็นการรับผิดชอบของผู้ว่าฯกทม.ท่านอื่นและได้ออกจากตำแหน่งไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ตนได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. ยังไม่เคยอนุมัติให้ดำเนินการแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่ากทม.ได้ส่งหนังสือตอบกลับข้อร้องเรียนของบริษัท ยังแมนสปอร์ต ไปยังศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล ว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 58 เป็นเรื่องจริงหรือไม่ พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า เป็นเรื่องจริงที่ กทม. ส่งหนังสือตอบกลับข้อร้องเรียนแต่ได้ระบุว่าการจัดซื้อเสื้อโปโล จำนวนเกือบ 2 แสนตัวด้วยงบประมาณ 40 ล้านโดยใช้วิธีพิเศษได้เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันแล้วเมื่อปี 58 และได้เสนอมายังกทม.ให้จัดซื้ออีกครั้ง แต่กทม.ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากราคาผลิตเสื้อโปโลตัวละ 248 บาท เป็นราคาที่สูงเกินไป ในขณะที่ท้องตลาดราคาอยู่ที่ 190 บาทต่อตัว กทม. ได้ขอต่อรองราคาตัวละ 200 บาท แต่บริษัทยืนยันที่จะกำหนดราคาเดิมเท่านั้น ตนจึงได้ตอบไปว่าหากจะกำหนดราคาเดิมก็ให้ไปเจรจากับอดีตผู้ว่าฯกทม. เพราะกับผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ ไม่สามารถซื้อได้ เพราะให้คำตอบกับสังคมไม่ได้ว่าทำไมต้องจัดซื้อเสื้อโปโลที่มีราคาแพง
ต่อข้อถามที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทกล้าจัดสรรสินค้า ส่วนหนึ่งเพราะมีผู้บริหารตอบยืนยันที่จะจัดซื้อสินค้าหรือไม่ พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า "ส่วนนี้ผมไม่รู้"