"ฝ่ายชายที่ถูกหลอกลวง มีข้อควรต้องระวังว่าการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ ไม่ใช่ความผิดอาญาแผ่นดิน ผู้เสียหายจึงต้องแจ้งความร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 มิฉะนั้น คดีเป็นอันขาดอายุความ หากผู้เสียหายไม่แจ้งความร้องทุกข์ ผู้เสียหายก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในกำหนดเวลา 3 เดือนตามที่กล่าวมาเช่นกัน มิฉะนั้น ถือว่าคดีขาดอายุความ" นายธนกฤต กล่าวอธิบายกฎหมาย
นายธนกฤต กล่าวถึงกรณีของ น.ส.จริยาภรณ์ อีกว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อคดีนี้เหตุเกิดตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ชายที่ถูกหลอกลวงบางรายอาจไม่ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ หรือไม่ได้ฟ้องคดีอาญาภายในกำหนดอายุความ ทำให้คดีอาญาของฝ่ายชายบางรายขาดอายุความไปแล้ว อย่างไรก็ตามการที่ฝ่ายชายไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์หรือไม่ได้ฟ้องคดีอาญาภายในกำหนดดังกล่าวนั้นก็ไม่ตัดสิทธิฝ่ายชายที่จะฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องเอาสินสอดหรือทรัพย์สิน คืน รวมทั้งค่าเสียหายได้ภายในอายุความตามที่กฎหมายกำหนด เพราะเป็นการกระทำละเมิดในทางแพ่งด้วย
สำหรับคดีที่ยังไม่ขาดอายุความและอัยการเป็นโจทก์ฟ้องหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าฝ่ายชายยังไม่ได้ทรัพย์สินที่หลอกลวงไปคืน อัยการจะขอไปในฟ้องให้ฝ่ายหญิงคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ถูกหลอกลวงไปในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงให้แก่ฝ่ายชายที่เป็นผู้เสียหายด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ส่วนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากทรัพย์สินที่ถูกหลอกลวงนั้น อัยการไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้ฝ่ายหญิงชดใช้ได้ ฝ่ายชายที่เป็นผู้เสียหาย ต้องมายื่นคำร้องต่อศาลร่วมในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องเพื่อขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ซึ่งเป็นบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาความเสียหายทางแพ่ง ที่กำหนดให้ผู้เสียหายเป็นโจทก์ในคดีส่วนแพ่งและมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายทางแพ่งได้ในคดีอาญาโดยไม่ต้องไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหาก ซึ่งผู้เสียหายจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 253
คดีนี้เป็นการกระทำความผิดที่ฝ่ายชายจำนวนหลายรายถูกหลอกลวง คนละวัน คนละเวลา จำนวนเงินที่ถูกหลอกลวงก็แตกต่างกัน ความผิดที่กระทำต่อฝ่ายชายที่เป็นผู้เสียหายแต่ละรายจึงเป็นการกระทำที่แยกจากกันได้ และจึงเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงหลายกรรมต่างกัน ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดก็ต้องเรียงกระทงลงโทษไป
นายธนกฤต กล่าวอีกว่า เรื่องลักษณะนี้ยังไม่เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยมาก่อน คงมีแต่คำชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุดที่ 148/2550 ที่เคยวินิจฉัยเรื่องที่มีข้อเท็จจริงใกล้เคียงกันกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่สน.พระโขนง เมื่อปี 2549 โดยฝ่ายชายซึ่งสมรสแล้วได้เข้ามาติดต่อและตีสนิทกับฝ่ายหญิงที่เป็นผู้เสียหายในทางชู้สาว หลังจากนั้นเดือนเศษ ฝ่ายชายได้ขอแต่งงานกับฝ่ายหญิงและขอเงินกับสร้อยคอทองคำจากฝ่ายหญิงไป โดยอ้างว่าจะนำไปใช้จัดงานหมั้นและงานแต่งงาน แต่เมื่อถึงกำหนดจัดงานฝ่ายชายหลบหนีไปและไม่สามารถติดต่อได้อีก
ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหา ไม่ใช่เป็นเพียงการให้คำมั่นว่าจะจัดงานหมั้นและงานแต่งงานแล้วไม่ปฏิบัติตามคำมั่น แต่มีเจตนาหลอกลวงฝ่ายหญิงให้หลงเชื่อว่าจะมีการหมั้นและการแต่งงาน จนฝ่ายหญิงมอบทรัพย์สินให้แก่ฝ่ายชายไป ฝ่ายชายไม่มีเจตนาที่จะหมั้นและแต่งงานกับฝ่ายหญิงมาตั้งแต่ต้น อัยการสูงสุดจึงมีคำชี้ขาดสั่งฟ้องฝ่ายชายในความผิดฐานฉ้อโกง แต่คดีดังกล่าวนั้นขาดอายุความไปแล้วเนื่องจากผู้ต้องหาหลบหนีไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาฟ้องต่อศาลได้ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี