โจ๋เทคนิคมอบตัว รับเป็นคนปาประทัดยักษ์จริง ที่เหลือ ตร.ให้1สัปดาห์ มอบตัว!

จากกรณีเกิดการณ์ชุลมุนวุนวายมีกลุ่มนักเรียนวิทยาลัยเทคนิคราชสิทธารามจำนวนมากขับขี่รถจักรยานยนต์แล้วปิดถนนเพชรเกษม ก่อเหตุตะลุมบอนยกพวกตีกัน โดยมีการใช้อาวุธมีดพร้อมระเบิดกับกลุ่มนักเรียนเทคโนโลยีกรุงธน ที่กำลังยืนรอรถประจำทางอยู่ที่บริเวณปากซอยเพชรเกษม 36 ทั้งนี้ขณะเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังขึ้นจำนวน 5 ครั้ง ทำให้ประชาชนบริเวณใกล้เคียงและที่เดินผ่านไปมา ต่างต้องวิ่งหลบหนีเหตุการณ์กันอย่างวุ่นวาย ส่วนกลุ่มนักเรียนมีการปะทะกันอย่างดุเดือนจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ทราบชื่อต่อมาคือนายกิตติศักดิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 18 ปี นักเรียน ปวช. ชั้นปี 2 แผนกช่างยนต์ ถูกระเบิดจนแขนซ้ายขาด เจ้าหน้าที่ต้องรีบนำตัวส่งไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลบางไผ่ ส่วนอีกรายคือนายศิวกร (สงวนนามสกุล) อายุ 18 ปี ปวช. ชั้นปี 2 แผนกช่างกลโรงงาน ได้รับบาดเจ็บจากการถูกฟันตามร่างกาย เบื้องต้นอาการปลอดภัย เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (30 ส.ค.60) ผู้ปกครองได้ประสานนำเด็กนักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนที่ร่วมก่อเหตุดังกล่าว มาส่งให้ตำรวจสืบสวน สน.ภาษีเจริญ อีก 1 ราย โดยมีอาจารย์จากวิทยาลัยเทคนิคราชสิทธาราม และทนายความจากสภาทนายความ รวมถึงสหวิชาชีพร่วมสอบปากคำด้วย โดยมีการให้ชี้ภาพถ่ายนักเรียนที่ร่วมก่อเหตุ เพื่อใช้เป็นเบาะแสติดตามหาผู้ก่อเหตุเพิ่มและขยายผลเพิ่มเติม

โดยทางทนายความ เปิดเผยว่า เยาวชนรายนี้ให้การยอมรับว่า ฝั่งตนเองมีคนปาประทัดยักษ์ 2 คน ซึ่งตนก็ร่วมปาประทัดยักษ์ใส่นักเรียนวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงธนจริง แต่อ้างว่าไม่ถูกใคร ส่วนการบาดเจ็บจากการถูกประทัดยักษ์จนแขนขาดนั้น ก็ยังไม่ทราบว่าโดนจากฝั่งตนหรือไม่ เพราะฝั่งตรงข้ามก็มีประทัดยักษ์มาเช่นกัน

เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น และพกพาอาวุธเข้าไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร หลังจากสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานสอบสวนจะได้นำตัวเยาวชนรายนี้ส่งไปศาลเยาวชนและครอบครัวกลางต่อไป อย่างไรก็ตามจนถึงขณะนี้มีนักเรียนที่ก่อเหตุเข้ามอบตัวรวมแล้ว 3 ราย

ด้าน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับนักเรียนที่ก่อเหตุแต่อย่างใด เพราะยังให้เวลามามอบตัวก่อน แต่ถ้าหากเกินสัปดาห์นี้ อาจจะต้องพิจารณาขอศาลอนุมัติหมายจับ เพราะมีพฤติการณ์หลบหนี และฝากย้ำเตือนไปถึงผู้ปกครองว่าให้รีบนำบุตรหลานมามอบตัว ก่อนที่ผู้ปกครองจะมีความผิดในข้อหาให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหาด้วย