เปิดโฉม "9 ท่านเปา" ชี้ชะตา "ยิ่งลักษณ์"

ขณะที่อีกคดีหนึ่งซึ่งคนพูดถึงน้อยกว่า แต่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือคดีที่ คุณบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตนักการเมือง ร่วมกับกลุ่มเอกชนรวม 28 ราย ตกเป็นจำเลยในคดีฮั้วประมูลและทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ซึ่งทั้ง 2 คดี ศาลนัดตัดสินในเวลา 9 โมงเช้าพร้อมกัน และทั้ง 2 คดี มีองค์คณะผู้พิพากษาซ้ำกันถึง 5 คน โดยขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าศาลจะอ่านคำพิพากษาคดีไหนก่อนหรือหลังกันแน่
วันนี้ "ล่าความจริง" จะพาคุณผู้ชมไปรู้จักกับองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ที่จะตัดสินชี้ชะตาคุณยิ่งลักษณ์ รวมทั้งคดีคุณบุญทรงกับพวกรวม 28 คน ติดตามจากรายงานพิเศษค่ะ

ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดให้ต้องมีองค์คณะผู้พิพากษาจำนวน 9 คน โดยคดีจำนำข้าวที่มีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นจำเลย องค์คณะผู้พิพากษาประกอบด้วย นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกาลำดับที่ 1 ซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขตุลาการในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ โดยนายชีพเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ และยังเป็น 1 ใน 9 องค์คณะผู้พิพากษาในคดีทุจริตระบายข้าวของ นายบุญทรง กับพวกรวม 28 รายด้วย

เช่นเดียวกับ นายธนฤกษ์ นิติเศรณี รองประธานศาลฎีกาลำดับที่ 4 , นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา , นายพิศล พิรุณ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา และ นายวิรุฬห์ แสงเทียน ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา ซึ่งนอกจากจะเป็นองค์คณะผู้พิพากษาคดีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์แล้ว ยังเป็นเจ้าของสำนวนคดีทุจริตระบายข้าวของนายบุญทรงกับพวกอีกด้วย

ส่วนองค์คณะผู้พิพากษาคดีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่เหลือคนอื่นๆ ประกอบด้วย นายโสภณ โรจน์อนนท์ ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง , นายธนสิทธ์ นิลกำแหง ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา , นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา และ นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา อดีตรองประธานศาลฎีกา เคยเป็นเสียงข้างมากในองค์คณะผู้พิพากษาที่สั่งให้ยึดทรัพย์ 7 หมื่น 6 พันล้านบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ตกแผ่นของแผ่นดิน และเมื่อปี 2549 เคยได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้ไปเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ พิพากษาคดียุบพรรคไทยรักไทยด้วยมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 แต่เป็นเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยให้นำประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 มาย้อนหลังใช้บังคับเพื่อกำหนดโทษการตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี
สำหรับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตําแหน่งหรือหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มีโทษจําคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับส่วนองค์คณะผู้พิพากษาคดีนายบุญทรงกับพวกรวม 28 คน ฮั้วประมูลทุจริตระบายข้าว นอกจาก นายชีพ จุลมนต์ , นายธนฤกษ์ นิติเศรณี , นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ , นายวิรุฬห์ แสงเทียน และ นายพิศล พิรุณ แล้ว องค์คณะที่เหลืออีก 4 คือ นางพฤษภา พนมยันตร์ รองประธานศาลฎีกา , นางทัศนีย์ จั่นสัญจัย ธรรมเกณฑ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา , นางนวลน้อย ผลทวี ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และ นายอภิรัตน์ ลัดพลี ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา

โดยนายบุญทรงกับพวกถูกฟ้องว่า ร่วมกันกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกฎหมายฮั้วประมูล ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี สูงสุดถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต

หลังจากนี้ก็ต้องรอฟังผลคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม ว่าองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 2 สำนวน จะตัดสินคดีออกมาอย่างไร จะยกฟ้อง ลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา หรือลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา นับถอยหลังอีกเพียง 2 วันก็จะได้รู้กัน