จากการสอบสวน นายพนม หรือ หลิน รับสารภาพว่า ตนเป็นคนใส่หมวกที่ปรากฏในภาพวงจรปิดจริง มีอาชีพคุมวินรถแท็กซี่ย่านคลอง 7 ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในวันเกิดเหตุตนได้รับการว่าจ้างจากนายอุทิศ หรือ “จ่ายักษ์” ให้มาทำหน้าที่อารักขาบุคคลสำคัญ แต่ตนไม่ทราบในรายละเอียด เนื่องจากไม่ได้มีการพูดคุยกัน หลังเสร็จงานตนได้รับค่าจ้างจำนวน 2,000 บาท ก่อนแยกย้าย ซึ่งหลังทราบข่าวว่าถูกออกหมายจับจึงตัดสินใจเข้ามอบตัวที่ สภ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
ด้าน นายนวพล รับสารภาพว่า ตนรู้จักจ่ายักษ์มาประมาณ 2 ปี ก่อนจ่ายักษ์จะชักชวนตนให้มาช่วยทำธุระเพื่อหาค่าใช้จ่ายให้กับลูกของตนที่อยู่ในครรภ์ภรรยา ตนทำหน้าที่ขับรถให้กับจ่ายักษ์เท่านั้น ซึ่งในวันเกิดเหตุตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากตลอดเวลาตนอยู่บนรถ ซึ่งจ่ายักษ์จะเป็นคนบอกให้ขับรถไปตามสถานที่ต่างๆ หลังเสร็จงานตนได้ค่าจ้างจำนวน 10,000 บาท โดยจ่ายักษ์บอกว่าเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายให้หลาน หลังจากนั้นตนได้เดินทางไปยัง จ.อำนาจเจริญ เพื่อทำการซื้อขายที่ดิน ซึ่งปกติแล้วตนรับเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินอยู่แล้ว ตนไม่ได้ตั้งใจจะหนีเพียงต้องการหาเงินที่ได้จากการเป็นนายหน้ามาใช้จ่ายเท่านั้น แต่มาถูกจับกุมเสียก่อน
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้ได้ติดตามสืบสวนจับกุมมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการแต่งตั้งหัวหน้าพนักงานสอบสวนโดยมี พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และจะมีรอง ผบช.น. ผบก.สปพ. รอง ผบก.ทท และพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม เป็นคณะทำงาน ซึ่งจะทำให้คดีเป็นไปด้วยความกระชับ รัดกุม ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งการจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้ง 12 คน ถือว่ามีความสมบูรณ์ ใช้เวลาเพียง 6 วันในการติดตามจับกุมคนร้ายทั้งหมด ทั้งนี้ทางผู้บังคับบัญชาได้กำชับไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก และให้คดีนี้เป็นคดีสุดท้าย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ในสัปดาห์หน้า พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ จะเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสรุปคดีและประสาน ปปง. เพื่อทำการตรวจสอบทรัพย์สิน รวมถึงเส้นทางการเงินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือเข้าข่ายคดีฟอกเงินหรือไม่ แต่ในเบื้องต้นจะทำการยึดเงินจำนวน 2 ล้านบาทที่ได้มาจากการกรรโชกทรัพย์ครั้งนี้ไว้ก่อน ในส่วนของผู้เสียหายในคดีนี้พบว่ามีเพียง 3 ราย ซึ่งมีบุคคลบางคนในแก๊งนี้เคยก่อเหตุในพื้นที่ สน.ห้วยขวาง และสน.วังทองหลาง โดยหลังจากนี้จะออกหมายเรียกผู้ต้องหาที่ประกันตัวไปก่อนหน้านี้ให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา อั้งยี่ ซ่องโจร เพิ่มอีก 1 ข้อหา หากไม่มาตามหมายเรียก 2 ครั้งก็จะออกหมายจับต่อไป ในส่วนของการแจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้งหมดขณะนี้มีด้วยกัน 3 ข้อหา ประกอบด้วยกรรโชกทรัพย์ บุกรุกเคหะสถาน และอั้งยี่ ซ่องโจร ซึ่งหลังจากนี้หากพบว่ามีการกระทำความผิดในข้อหาอื่นก็ดำเนินการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า การจับกุมตัวนายนวพล นั้นจากการสืบสวนพบว่าระหว่างนายนวพลหลบหนีได้สับเปลี่ยนรถที่ใช้ รวมถึงเบอร์โทรศัพท์จำนวนหลายครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการเฝ้าติดตามหาข้อมูลมาโดยตลอดจนสามารถจับกุมตัวได้ในที่สุด