โดยคำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2560 พ.ต.ต.ณัฐกฤษต์ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้แต่งกายเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสังกัด กอ.รมน. และพวกซึ่งแต่งชุดลายพรางทหารบกประมาณ 10 คนที่มีผู้ต้องหาที่ 2-3 รวมอยู่ในนั้นด้วย ได้บุกรุกเข้าไปใน บริษัท คันต้า กรุ๊ป ไทยแลนด์ จำกัด ของนายสุรชัย แซ่ย่าง ที่ตั้งอยู่แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กทม. แล้วได้สอบถามจนให้บุคคลพาไปพบตัวนายสุรชัย ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ที่ห้องทำงาน จากนั้นพวกผู้ต้องหาได้นำเอกสารที่อ้างว่าทำการตรวจสอบประวัติของนายสุรชัยแล้วเป็นคนต่างด้าวสวมชื่อทำบัตรประชาชนปลอม โดยผู้ต้องหาที่ 1และ 3 บอกว่าจะพาตัวนายสุรชัยไปพบ นาย หมายถึงตัว พล.ต.จรูญ อำภา จากนั้นพวกผู้ต้องหา ได้พานายสุรชัย ขึ้นรถยนต์เดินทางไปพบกับ พล.ต.จรูญ ที่ได้มีการสอบถามนายสุรชัยว่ามีการทำบัตรประชาชนปลอมหรือไม่ หากทำจริงให้รับมาและให้แก้ไขให้ถูกต้องตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ โดยเวลาต่อมาผู้ต้องหาทั้งหมดกับพวก ก็ได้ข่มขู่เรียกเอาเงินจากนายสุรชัยเพื่อแลกกับการไม่จับกุมตัวดำเนินคดี นายสุรชัยเกิดความกลัวจึงมอบเงิน 1 ล้านบาทให้กับกลุ่มผู้ต้องหา แล้วในวันที่ 17 ก.ค.นั้นนายสุรชัย ยังได้โอนเงินอีก 1 ล้านบาทเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของนายโอภาส ผู้ต้องหาที่ 2
กระทั่งวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้งสามถูกตำรวจจับกุมได้ตามหมายจับพร้อมแจ้งข้อหา ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป , ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำโดยประการใดๆให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือผู้อื่น ,ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือบุคคลที่สามและร่วมกันบุกรุกเคหะสถานตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง , 310,310 ทวิ,337และ365 (2) ซึ่งชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสามให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ส่วน พล.ต.จรูญ อำภา ,จ.อ. ทรงวุฒิ เที่ยงธรรม ,จ.อ.เทพพิทักษ์ รัดทะนี ,จ.อ. เสาวเดช ศักดิ์กิตตินันท์,จ.อ.อภิวัฒน์ ศรีนะพรม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่1815,1810,1809,1807,1808/2560 ในคดีเดียวกันนี้ ก็ได้ถูกจับกุมตัวในวันเดียวกัน แต่ได้รับการปล่อยชั่วคราวไปในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวน เหตุเกิดที่บจก.คันต้า กรุ๊ป ไทยแลนด์
ทั้งนี้ศาลพิจารณาคำร้องแล้วสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมาญาติของพ.ต.ต.ณัฐกฤษต์หรือนายณัฐกฤษต์ และนายโก เทช ชาวสิงคโปร์ ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 3 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างการฝากขัง
กระทั่งเวลา 16.30 น. ศาลพิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์เป็นเงินสดแล้ว จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว พ.ต.ต.ณัฐกฤษต์หรือนายณัฐกฤษต์ และนายโก เทช ชาวสิงคโปร์ ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 3 ได้ โดยตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาต โดยศาลให้ยึดหนังสือเดินทาง (เล่มพาสปอร์ต) ของนายโก เทช ชาวสิงคโปร์ ผู้ต้องหาที่ 3 ไว้ด้วย
อย่างไรก็ดี สำหรับนายโอภาส ศรียา อายุ 39 ปี ชาวจ.ชัยภูมิ ผู้ต้องหาที่ 2 นั้น ปรากฏว่าไม่มีหลักทรัพย์ที่จะยื่นประกันตัวในชั้นนี้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงได้ควบคุมตัวไปขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพระหว่างการฝากขังนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมด พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปพ. และคณะจับกุมได้เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติการณ์ เรียกเงินค่าคุ้มครอง 20 ล้านบาทจากนายสุรชัย แซ่ย่าง ซึ่งเป็นเจ้าของ บจก.คันต้า กรุ๊ป ไทยแลนด์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับสายการบิน โดยพวกผู้ต้องหาอ้างว่านายสุรชัยทำเอกสารทะเบียนราษฎร์และบัตรประชาชนปลอม แต่ระหว่างนั้นนายสุรชัย ผู้เสียหายได้ต่อรองการจ่ายเงิน จนเหลือ 2 ล้านบาท โดยขณะนี้ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้แล้วทั้งสิ้น 8 ราย คงเหลือผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 2 ราย คือนายอุทิศ ก่อแก้ว และนายฐิติกร ชื่นอุรา