หลังจากยื่นแล้วก็จะติดตามการพิจารณาของ ป.ป.ช.ว่าจะมีมติในเรื่องนี้อย่างไร ซึ่ง ป.ป.ช.มีกรอบเวลาที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะการยื่นอุทธรณ์ต้องทำภายใน 30 วัน หลังศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา
เช่นเดียว กับผู้ประสานงานพันธมิตรฯ สุริยะใส กตะศิลา บอกว่า คสช.กำลังเข้าใจผิด มองการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง ทั้งที่การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นเรื่องของแนวทางการต่อสู้คดีสลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 เท่านั้น ไม่ได้มีนัยทางการเมืองอื่นๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากคดีพันธมิตรฯ เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก และมีเหยื่อของความรุนแรงในเหตุการณ์ครั้งนั้นหลายราย จึงมีความจำเป็นต้องปรึกษาหารือกัน ว่าจะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเป็นบรรทัดฐานต่อสังคมทั้งหมด และจุดยืนของอดีตแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วมทุกคนเคารพในกระบวนการยุติธรรม
ซึ่งการใช้สิทธิอุทธรณ์ เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ อย่าตัดสิทธิ์ของประชาชนที่จะแสวงหาความยุติธรรมเพื่อให้ได้ข้อยุติถึงที่สุด หวังว่า ป.ป.ช.จะไม่ตัดโอกาสของประชาชนทิ้งไป // หาก ป.ป.ช.ไม่อุทธรณ์ ยังนึกไม่ออกว่าจะอธิบายกับประชาชนได้อย่างไร อย่าลืมว่าในขณะนี้ ป.ป.ช.ก็ถูกสังคมและสื่อมวลชนตั้งข้อสงสัยถึงความไม่ชอบมาพากลพอสมควรในการดำเนินการเรื่อง ที่จำเลยบางคนเกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล จึงหวังว่า ป.ป.ช.จะพิสูจน์ตัวเองและสร้างความไว้วางใจความเชื่อมั่นจากสังคม