svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"บิ๊กตู่" วอนคนไทย เอื้ออาทรต่อกัน

21 กรกฎาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"บิ๊กตู่" ยกหลักพุทธศาสนาสอนคนไทย บอกมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ต้องเอื้ออาทรกัน ชี้ใช้เสรีภาพ 100% ไปละเมิดคนอื่นไม่ได้

เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงผ่านรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ซึ่งเราถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐคำว่าประเสริฐหมายถึงการมีระดับจิตใจสูงสามารถเข้าถึงความดีงาม อาทิ ความรัก ความสามัคคี ในหมู่เพื่อนมนุษย์ สังคม และความเอื้ออาทรต่อผู้อื่นต่อกันและกัน คนเรานั้นสามารถฝึกฝนและพัฒนาจิตใจได้ โดยปราศจากข้อจำกัดเรื่องชาติกำเนิด หรือฐานะทางเศรษฐกิจ สังคมเพื่อไม่ให้เบียดเบียนกันรู้จักแยกแยะความดีและความเลว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ในฐานะความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมตนเห็นว่าหลักธรรม 3 ประการในพุทธศาสนา ที่เราทุกคนควรตระหนัก และยึดถือเป็นหลักพื้นฐาน เพื่อการอยู่ร่วมกันของคนไทย อย่างมีความสุข ได้แก่ ปัญญา เมตตากรุณา รักใคร่เกื้อกูลกัน และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ส่วนคำว่าสิทธิเสรีภาพบนพื้นฐานแห่งศีลธรรมนั้น ไม่ใช่เพียงการมีเวที หรือช่องทางให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น หรือมีส่วนร่วมเท่านั้น แต่จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงก็คือมนุษยธรรมด้วย หากสังคมใดคนในสังคมมีศักดิ์ศรี สังคมนั้นจะมีแต่ความสามัคคีและปรองดอง ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อยู่ที่การมีเสรีภาพ 100% แต่กลับปล่อยให้เกิดการละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น หรือละเมิดกฎหมาย และไม่ใช่อยู่ที่การมีสิทธิเพื่อครอบครองอำนาจ หรือมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่นในทางที่ไม่ถูกต้อง

ชี้ ปชต.ไทยบกพร่องทางจิตวิญญาณ ขาดภูมิคุ้มกัน ลั่นต้องปกครองแบบธรรมาธิปไตย
"เหตุที่ 80 กว่าปีประชาธิปไตยของไทย ไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควรลุ่มๆดอนๆ โดยเฉพาะช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผมเห็นว่าบ้านเมืองของเรา ประสบกับภาวะบกพร่องทางจิตวิญญาณจิตใจของคนไทยมีความบกพร่องหรือขาดภูมิคุ้มกันทางศีลธรรม เป็นเหตุให้สังคมมีปัญหา ผมไม่ได้โทษประชาชน เพียงแต่ว่าเราต้องเตือนกัน ต้องเข้าใจจิตใจกัน และต้องดูใจผมเหมือนกัน เปลี่ยนแปลง ควบคุมตัวเองให้ได้ ทุกคนก็ต้องมาช่วยผมตรงนี้ ประเทศจะได้ไม่ไปประสบวิกฤตการทางการเมืองอีก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ตนนึกถึงคำว่าธรรมาธิปไตยที่สังคมไม่ค่อยพูดถึงกันนัก แต่กลับมีความสำคัญ คือการถือธรรมะเป็นใหญ่ เป็นการยึดถือหลักการ หลักเหตุผล หลักความเป็นจริง ความถูกต้อง ความเป็นธรรมในการบริหารจัดการกับต่างๆ ถ้าเรามีประชาธิปไตยแต่ปราศจากธรรมาธิปไตยความสงบสุขในสังคมก็จะไม่มีความยั่งยืน และที่สำคัญคือจุดเริ่มต้นของการปรองดอง ก็คือการทำให้สังคมมีธรรมาธิปไตย วันนี้รัฐบาลและคสช. พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแก้ไขปัญหาของสังคมที่กองสุมกันอยู่ทุกมิติ หากสังคมไม่ยอมช่วยกันแก้ปัญหา ต้องการการปฏิรูป แต่ไม่ยอมรับเปลี่ยนแปลง ไปในที่ถูกที่ควรตามครรลองของกฎหมาย และยังไม่เคารพกฎหมาย แล้วผลักภาระหรือรอคอยให้นายกรัฐมนตรี รัฐบาล คสช. มาตามแก้ไขปัญหาแต่เพียงฝ่ายเดียว ถือว่าผิดหลักการขาดความรับผิดชอบร่วมกัน รอให้คนมาปัดกวาด ไม่ทันใจก็ต่อว่าขับไล่ แบบนี้เราจะแก้ปัญหาของเราอย่างยั่งยืนได้อย่างไร ตนอยากให้ทุกคนได้คิด มีสติ และทบทวน ว่าเราน่าจะใช้หลักธรรม หลักศาสนา และหลักการต่างๆ มาช่วยแก้ปัญหาทางการเมืองด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ปัญหาสำคัญในอดีต ที่รัฐบาลนี้พยายามจะแก้ไข แล้วก็ปรับให้เข้ามาสู่สิ่งที่ควรจะเป็น และเป็นสากล มี 3 เรื่องหลักคือ 1.การจัดระเบียบสังคม และการบังคับใช้กฎหมายปกติให้มีประสิทธิภาพ2.การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ ให้มีความสมดุลและยั่งยืน3.วางรากฐานการปฏิรูป ทั้งนี้การดำเนินการย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน นายทุน ผู้ประกอบการ เป็นจำนวนมาก รัฐบาลนี้เคร่งครัดเอาจริงเอาจัง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนมีรายได้ลดลง ส่งผลให้การใช้จ่ายเงินในระบบเศรษฐกิจจากธุรกิจสีเทาธุรกิจผิดกฎมายลดลง เงินหมุนเวียนในระบบก็ลดลงตามไปด้วย

ฟุ้งอีก5ปี เศรษฐกิจไทยดีขึ้น หวังโครงสร้างพื้นฐานเสร็จช่วยกระตุ้น
"ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าใจว่าต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง ซึ่งรัฐบาลก็พยายามจะช่วยเหลือ สร้างงาน สร้างอาชีพ หามาตรการที่ถูกกฎหมายมารองรับ ทำให้สามารถมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีความยั่งยืน รัฐบาลเข้าใจดีว่า ถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่รายได้อาจจะยังไม่กระจายไปสู่ประชาชนได้มากนัก เพราะโครงสร้างพื้นฐานยังไม่แข็งแรงเพียงพอ สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำย่อมส่งผลในวันข้างหน้า แม้จะไม่ส่งผลทางเศรษฐกิจในทันที แต่อาจจะส่งผลทางด้านทางจิตวิทยาและความเชื่อมั่นในเบื้องต้น มีการวาดความฝันอนาคตไว้ร่วมกัน วันนี้ก็ต้องลำบากก่อน เพราะว่าเราทำอะไรตามใจตัวเองกันมานานแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ตนขอฉายภาพอนาคตของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ทุกระบบของประเทศ ในภาพรวม ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า ในปี 2565 เราจะมีการขนส่งทางถนน เราจะมีทางหลวงขนาด 4 ช่องทางจราจรขึ้นไปเพิ่มขึ้นอีกราว 700 กิโลเมตร มีทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเพิ่มขึ้นจากเดิมมีเพียง 146 กิโลเมตร เป็น 636 กิโลเมตร มีการพัฒนาทางหลวงชนบท เพื่อแก้ปัญหาการจราจรในเขตเมืองเพิ่มขึ้น 2 เท่ามีการสร้างสะพานข้ามอุโมงค์ลอดรถไฟเพิ่มขึ้นกว่า 100 แห่ง และสร้างสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ อีก 5 แห่ง เป็นต้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การขนส่งทางราง เราจะมีรถไฟทางคู่ เพิ่มขึ้น 15 เท่า จาก 250 เป็น 3,500 กว่ากิโลเมตร มีการพัฒนาราง 4 เส้น ทาง กว่า 1,039 กิโลเมตร และมีรถไฟฟ้าเพิ่มเป็น 11 เส้นทาง ระยะทางรวม 439 กิโลเมตร จะช่วยลดปริมาณการจราจรบนถนนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เดินทางระหว่างเมือง จาก 59% เหลือ 40% การขนส่งทางน้ำ เราจะมีท่าเรือชายฝั่งทะเลเพิ่มขึ้น 5 แห่งรวมเป็น 23 แห่ง ส่วนการขนส่งทางอากาศ เราจะมีท่าอากาศยานเบตงเพิ่มขึ้น และมีการยกระดับสนามบินอู่ตะเภา สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้นราว 3 แสนเที่ยวบินต่อปี
"สำหรับประโยชน์ที่จะได้ถึงมือประชาชนนั้น ก็เป็นในรูปแบบการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคความสะดวกและปลอดภัย มีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้นยกระดับคุณภาพชีวิต สามารถหาเลี้ยงชีพในถิ่นเกิด โดยไม่ต้องเสี่ยงโชคในเมืองเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถ้าเสร็จสำเร็จได้ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมโยง สร้างงาน สร้างอาชีพ มีทางเลือกและโอกาสมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระจายรายได้ถึงคนไทยทุกคน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ลั่นไม่ใช้ประชานิยมแก้ปัญหา ซัดนักการเมืองแบ่งฝ่ายปชช. กระจายงบประมาณตามฐานเสียง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การดำเนินนโยบายทางการเมือง มีส่วนสำคัญอย่างมาก สามารถที่จะสร้างและทำลายได้ทุกอย่าง เช่น การเพิกเฉยการส่งเสริมให้ประชาชนของชาติ ยึดมั่นในสถาบันชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศการไร้ความสามารถในการรักษาความสงบสันติของสังคมและประเทศชาติการใช้นโยบายที่ปราศจากยุทธศาสตร์ ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน แต่จะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ แล้วก็ทิ้งปัญหาไว้ข้างหลังอีกต่อไป การแยกกลุ่ม แบ่งฝ่ายประชาชน โดยยึดตามฐานเสียง แทนที่จะเป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ สร้างความแตกแยกร้าวลึกในสังคมการใช้งบประมาณประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เป็นเครื่องต่อรองกับการเมืองในท้องถิ่น กับประชาชน เพื่อเป็นการสร้างฐานอำนาจ หาคะแนนความนิยม รวมทั้งการใช้งบประมาณที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล และไม่เกิดการบูรณาการ ทำให้สิ้นเปลืองไม่คุ้มค่า และไร้ประสิทธิภาพ
"ที่ผ่านมาอาจจะเน้นประชานิยม ทำให้ปัญหายังคงวงเวียนอยู่ในสังคม ซึ่งจะก่อความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การที่รัฐบาลพยายามแถลงข่าว ชี้แจงตอบข้อสงสัยโดยให้เหตุผล ใช้ความอดทนอดกลั้น และแสดงความจริงใจ บางครั้งก็ถูกกวนน้ำให้ขุ่นหรือเล่นการเมืองบนความทุกข์ของประชาชนทำให้สิ่งที่ผมพูด สิ่งที่รัฐบาลพยายามสื่อสารออกไป ไม่เป็นผลอย่างน่าเสียดาย ความเพียรพยายามก็สูญเปล่าผู้ไม่หวังดีมักสร้างบรรยากาศให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งทุกคนเข้าใจดี ว่าเป็นวิถีของการต่อสู้สาดสี เพื่อเอาชนะกันแย่งพื้นที่ฐานเสียง ทุกฝ่ายต้องกลับมามอง มาทบทวนที่ตนเองบ้าง ประชาชนเอง ก็ต้องมีหลักคิด มีความรู้เป็นภูมิคุ้มกัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของใครอีกต่อไป เราต้องร่วมมือกันพัฒนาบนพื้นฐานความแตกต่าง บนหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนมากกว่าการยอมให้ใครมาจุดชนวนขยายความขัดแย้งในกลุ่มคน กลุ่มประชาชน ด้วยวาทะกรรมที่ไม่สร้างสรรค์อีกต่อไป" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

logoline