3 นัดสุดท้ายตัดสิน "ยิ่งลักษณ์" จำนำข้าว
นับถอยหลังเหลือเวลาอีกเพียง 3 นัดเท่านั้นก่อนที่ศาลฏีกานักการเมือง จะตัดสิน คดีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นจำเลย ปล่อยปละละเลยโครงการรับจำนำข้าว โดยจะมีการไต่ส่วนนัดสุดท้าย 21 ก.ค.นี้ ส่วนการอายัดทรัพย์ อยู่ระหว่างดำเนินการของกระทรวงการคลัง
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกถึงความคืบหน้าในคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องเป็นจำเลย กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาทว่า ขณะนี้คดีอยู่ในช่วงการไต่สวนพยานจำเลย เหลืออีก 3 นัด คือ วันที่ 29 มิ.ย. มีการไต่สวนพยานจำเลย 3 ปาก วันที่ 7 ก.ค. ไต่สวนพยานจำเลย 8 ปาก และนัดสุดท้ายวันที่ 21 ก.ค. ไต่สวนพยานจำเลย 8 ปากสุดท้าย ส่วนจะมีการขอไต่สวนพยานเพิ่มในคดีหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มี จะขอไต่สวนพยานที่ยื่นบัญชีไว้ให้หมดก่อนจะมีการพิจารณาอีกครั้ง
นายนรวิชญ์ บอกว่า หากมีการไต่สวนพยานนัดสุดท้ายวันที่ 21 ก.ค.เสร็จสิ้น ศาลจะให้โอกาสคู่ความแถลงการณ์ปิดคดี จึงขึ้นอยู่กับคู่ความว่าจะแถลงด้วยวาจา หรือลายลักษณ์อักษร ซึ่งศาลจะกำหนดในวันไต่สวนพยานปากสุดท้ายว่าจะให้แถลงปิดคดีภายในกี่วัน และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่เท่าไหร่
เพราะเรื่องนี้ไม่มีความเเน่นอน ต้องขึ้นอยู่กับปัญหาข้อเท็จจริงว่ามีมากน้อยแค่ไหน บางคดีเป็นคดีเล็ก ข้อเท็จจริงไม่เยอะ ไต่สวนนัดสุดท้ายอีก 15 วัน นัดฟังคำพิพากษาก็มี เท่าที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่ามีคดีที่มีรายละเอียดข้อเท็จจริงเยอะ อย่างคดีปล่อยกู้กรุงไทยก็ใช้เวลาไม่นาน ซึ่งคดีในศาลฎีกาฯ นักการเมืองจะใช้เวลาในการพิจารณาทำคำพิพากษาไม่นาน ส่วนอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะแถลงปิดคดีด้วยวาจาด้วยตนเองหรือไม่นั้น ยังไม่ได้กำหนดไว้เหมือนกัน
ความคืบหน้าการยึดทรัพย์คดีจำนำข้าวของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง บอกว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ตั้งคณะทำงานสืบทรัพย์เพื่อติดตามสืบหาทรัพย์สิน โดยทำหน้าที่ติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย , กรมที่ดิน เพื่อสืบหาว่าคุณยิ่งลักษณ์มีสินทรัพย์เท่าไหร่ รวมถึงตรวจดูรายการที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. หลังจากนั้นจะนำมาสรุปจำนวนทรัพย์สิน เพื่อส่งให้กรมบังคับคดีดำเนินการติดตามยึดทรัพย์ต่อไปแต่ตอนนี้ ยังระบุเวลาไม่ได้ว่าจะทำเสร็จเมื่อไร เพราะเป็นเรื่องของคณะทำงานที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และยึดหลักการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย พร้อมกับให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ขณะนี้คดีอาญาอยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนคดีแพ่งอยู่ในศาลปกครอง ซึ่งจำเลยต้องร้องขอคัดค้านการยึดทรัพย์ไปยังศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาเพิกถอนคำสั่ง