เมื่อวันที่ 20 พ.ค.นายชอบ เรืองเงิน อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 158 หมู่ที่ 1 ต.แสวงพันธ์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นควาญช้างพังโย ( เพศเมีย ) ได้มอบอำนาจให้นายสมศักดิ์ เรืองเงิน เดินทางไปยังบ้านนายหน่อคำ ต๊ะวัน อายุ 79 ปี เลขที่ 82 หมู่ที่ 2 ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด จ.ตาก เพื่อไปสอบถามข้อเท็จจริง กรณีช้างพังโย ได้หายไปเป็นเวลา 14 ปี หรือเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2546 จากพื้นที่ป่าเลี้ยงช้าง จ.กระบี่ และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2560 มีผู้พบช้างพังโย ที่ปางช้างอะเมซิ่ง จ.ภูเก็ต จึงไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ฉลอง จ.ภูเก็ต
จากนั้นได้ประสานกับปศุสัตว์ จ.ภูเก็ต ไปตรวจสอบที่ปางช้าง เพื่อขอให้นำช้างไปตรวจไมโครชิพ ซึ่งจากการตรวจสอบตรงกับช้างพังโย ที่เคยแจ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แต่แรก แต่อีกฝ่ายผู้ครอบครองช้างพังโย ไม่ยอม จึงต้องไปหาหลักฐานเพิ่มอีก และอยากทราบข้อเท็จจริงจากนายหน่อคำ ว่า ช้างที่ไปปรากฏที่ จ.ภูเก็ตนั้น ทำไม เป็นตั๋วรูปพรรณที่ได้จากนายหน่อคำ ซึ่งสงสัยว่านายหน่อคำขายช้างพังโย ให้ทางฝ่ายผู้ครอบครองช้างในขณะนี้หรือไม่ หรือขายเพียงตั๋วรูปพรรณ เพราะช้างพังโยได้เปลี่ยนชื่อไปเป็นพังสีนวล แต่ไมโครชิพที่ฝังไว้นั้น เป็นของนายชอบ และชื่อพังโย รวมทั้งการระบุตำหนิชัดเจน
ขณะที่นายสมศักดิ์ ไปบ้านนายหน่อคำนั้น ทราบว่า นายหน่อคำไม่อยู่ พบแต่ลูกสาว กับบุตรเขย จึงทำความเข้าใจกัน และได้ประสานกับฝ่ายปกครองอำเภอแม่ระมาด โดยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่ง ฝ่ายปกครองอำเภอแม่ระมาด พร้อมที่จะดำเนินการช่วยเหลือนายสมศักดิ์ เพื่อประสานนำตัวนายหน่อคำมาสอบสวน ล่าสุดทราบว่า นายหน่อคำไปอาศัยอยู่ที่ฝั่งประเทศเมียนมา จ.เมียวดี ตรงข้าม อ.แม่สอด
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ช้างของตนเองฝังไมโครชิพเมื่อปี 2542 แต่เอาช้างไปสวมขึ้นทะเบียนช้างปี 2558 รู้สึกสงสารช้างพังโย มากๆ เพราะถูกใช้งานอย่างหนักมานานถึง 14 ปี จนได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่ตน และพวกไปพบที่พังโย ที่ปางช้างอะเมซิ่ง ภูเก็ต แสดงว่าที่ผ่านมาช้างจะถูกให้อยู่แต่ในป่าตลอด ส่วนการทำคดีของเจ้าหน้าที่นั้น มีความล่าช้ามาก จนจึงต้องลงไปพื้นที่เอง เพื่อขอคำยืนยันจากนายหน่อคำในการเอาเป็นหลักฐาน เพื่อเอาช้างคืน