"ตอนเรียนจบใหม่ๆฉัน ไปทำงานด้านท่องเที่ยว และห้องพักที่ จ.ระยอง ได้กว่า 5 ปี เห็นว่าคุณพ่ออายุเริ่มมากขึ้น พี่ชายจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ ไปใช้ฃีวิตในกรุงเทพฯไม่มีใครอยู่กับบ้าน เพราะเรามีแค่สองพึ่น้องเอง ฉันตัดสินใจมายึดอาชีพการเกษตร เพราะเห็นอยู่ว่ามีรายได้ดี ทำเป็นสวนผสมผสาน เน้นขนุนทองประเสริฐเพราะคุณพ่อเป็นเจ้าของพันธุ์ในพื้นที่กว่า 30 ไร่ มีสละ บ้าง กองกอง มังคุด ทุเรียน ในจำนวนนื้ขนุนสร้างรายมากที่สุด ทั้งผลผลิตที่ล้งผู้ส่งออก ไปยังจีนและเวียดนามมารับซื้อถึงที่ และขยายกิ่งด้วยการทาบกิ่งขายให้เกษตรกรตกเดือนละหลายพันกิ่งในราคากิ่งละตั้ง 45 บาทจนถึงหลักร้อยบาท ขึ้นอยู่กับขนาด" ทัศนีย์ กล่าว
สำหรับการทาบกิ่ง เธอ บอกว่าง่ายมากเริ่มจากนำเมล็ดขนุนไปเพาะในถุงดำ เพื่อเป็นต้นต่อพันธุ์ จนลำต้นสูงราว 40-50 ซม. จากนั้นเลือกกิ่งสมบูรณ์จากแม่พันธุ์ เมื่อได้แล้ว ใช้มีดคมปาดต้นต่อพันธุ์สูงจากโคนต้นราว 10-15 ซม.เป็นปลายแหลมเฉียง
นำมีดปาดกิ่งจากแม่พันธุ์เป็นรูปเสี้ยว กินเนื้อไม้เล็กน้อย มาประกบกัน ใช้เชือกมัดถุงดินที่เพาะต้นพันธุ์ แขวนไว้เพื่อรับน้ำหนัก จากนั้นใช้พลาสติกยืด หรืเทปสำหรับทาบไม้มัดให้แน่นจนมิดรอยปาดทั้งสองฝั่ง
หลังจากเวลาผ่านไป 45 วันให้ควานเปลือกกิ่งพันธุ์ด้านล่าง เพื่อเตือนให้กิ่งพันธุ์ไปกินธาตุอาหารในถุงต้นต่อ ปล่อยอีก 10 วันสามารถตัดไปอนุบาลก่อนส่งให้ลูกค้า เพื่อนำไปปลูกต่อไป โดยพื้นที่ 1 ไร่จะสามารถปลูกได้ 35-45 ต้น จะตัดลูกให้เหลือเพียง ต้นละไม่เกิน 15 ผลต่อปี เพื่อรักษาคุณภาพของผลผลิต โดยแต่ละปีจะสามารถผลผลิตผลขนุนตกปีละ 10 ตัน ในราคาเฉลี่ยตลอดทั้งปี กก.ละ 25 บาท บางฤดูกาลอาจสูงถึง กก.ละ 35 บาท บางฤดูกาลอาจต่ำลงเหลือ 18 บาท แต่กระนั้นถ้าขนุน กก.ละเฉลี่ยที่ 20 บาท เกษตรกรสามารถอยู่ได้ เพราะขนุนปลูกง่าย ไม่ค่อยมีโรคระบาดเหมือนไม้ผลชนิดอื่น
ปัจจุบันและอนาคต ทัศนีย์ ยืนยันว่า ขนุนเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคต เพราะตลาดต่างประเทศมีความต้องการสูงขึ้น โดยเฉพาะจีนและเวียดนาม ทำให้ที่สวนของเธอสร้างรายได้จากการทำสวนขนุน ผสมผสานกับพืชในแต่ละปีตกกว่าปีละ 10 ล้านบาท
ขนุนทองประเสริฐนับเป็นไม้ผลหรือพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจ แต่เกษตรกรมักจะมองข้าม ทั้งที่ความจริงผลผลิตขนุนมีตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศยังต้องการอีกสูงมาก