svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

เดิมพันสูง! ชี้ชะตาทิศทางฝรั่งเศสกับอนาคตยุโรป หลัง Macron และ Le Pen คว้าชัยเลือกตั้งรอบแรก

24 เมษายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

Macron ที่มีแนวคิดยึดสายการตลาดได้รับเสียงโหวตนำ Le Pen ยึดแนวชาตินิยมฝ่ายขวา ร่วมกันคว้าชัยชนะเลือกตั้งฝรั่เศสในรอบแรกด้วยคะแนน 23.6% และ 22.2% เมื่อวันทื่ 23 เมษายน เดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งรอบสองในต้นเดือนหน้า ขณะที่ชาวฝรั่งเศสออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งรอบแรกกว่า 83% ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ 47 ล้านคน จึงถือเป็นเดิมพันที่สูงในการชี้ชะตาทิศทางของฝรั่งเศสกับอนาคตของยุโรปซึ่งเป็นผลสะท้อนภาพจากแนวคิดและนโยบายที่สุดขั้วในการเลือกตั้งครั้งนี้

ท่ามกลางระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดสูงสุดของตำรวจและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงถึง 50,000 นาย ที่คอยดูแลเหตุก่อการร้ายและการก่อเหตุของกลุ่มคนที่มีความคิดทั้งเห็นชอบและเห็นต่างต่อแนวนโยบายของนักการเมืองที่ต่างขั้วกันระหว่างการอยู่ร่วมในสหถาพยุโรป กับการแยกตัวออกของ Frexit ที่เดินตามรอย Brexit โดยผู้ชนะในรอบนี้จะผ่านเข้าไปสู่การเลือกตั้งในรอบที่สอง ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ขณะเดียวกันธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB เตรียมพร้อมสำรอเงินฉุกเฉินให้กับธนาคารของฝรั่งเศสหลังประกาศผลการเลือกตั้งในรอบแรก ส่วนเงินยูโรพุ่งแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.09 ดอลลาร์ต่อยูโร สวนทางเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง โดยที่ Dollar Index ร่วงหลุด 99.00 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่พฤศจิกายนปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อดัชนีดาซโจนส์ฟิวเจอร์สพุ่งขึ้นกว้า 200 จุด ส่วนนิคเคอิญี่ปุ่นพุ่งขึ้นกว่า 269 จุดในช่วงเปิดตลาด สวนทางกับราคาทองที่ลดลงแตะ 1,273ดอลลาร์ต่อออนซ์

1.ชาวฝรั่งเศสได้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งรอบแรกกว่า 83% ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ 47 ล้านคน จึงถือเป็นเดิมพันที่สูงในการชี้ชะตาทิศทางของฝรั่งเศสกับอนาคตของยุโรปซึ่งเป็นผลสะท้อนภาพจากแนวคิดและนโยบายที่สุดขั้ว โดยที่ Emmanuel Macron ที่มีแนวคิดยึดสายการตลาดได้รับเสียงโหวตนำ Marine Le Pen ยึดแนวชาตินิยมฝ่ายขวา ร่วมกันคว้าชัยชนะเลือกตั้งฝรั่เศสในรอบแรกด้วยคะแนน 23.6% และ 22.2% เมื่อวันทื่ 23 เมษายน เดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งรอบสองในต้นเดือนหน้า
ทั้งนี้ ก่อนที่การเลือกตั้งรอบแรกจะมีขึ้นในวันที่ 23 เมษายนนั้น ใครๆ ก็ชอบความเป็นชาตินิยม แยกตัวออกจากระบบเก่าซึ่งรัฐบาลของฟรังก์ซัว ออลลองด์ ไม่สามารถประสบควมสำเร็จในการบริหารประเทศ ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมา Le Pen วัย 48 ปีจาก National Front พรรคแนวหน้าแห่งชาติที่ยึดแนวคิดชาตินิยมฝ่ายขวา จึงได้รับการยอมรับในฝรั่งเศส ซึ่งเธอมาพร้อมกับนโยบายที่ว่า "ฝรั่งเศสต้องมาก่อน" ตามรอยอังกฤษที่จะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ Brexit และโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เลือกจะปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐ หรือ America First การเลิกใช้เงินยูโรโดยหันมาใช้เงินฟรังก์ฝรั่งเศสแทน รวมถึงเมื่อมีการนำเสนอนโยบายากัดคนอพยพเข้าเมือง การจัดการสถานการณ์ก่อการร้ายอบ่างเด็ดขาด
แต่มาในวันนี้ Emmanuel Macron คนหนุ่มในวัยเพียง 39 ปี ที่ก่อตั้งแคมเปญ "En Marche!" ซึ่งเป็นกลุ่มความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เดินสายกลางยึดนโยบายการตลาด ซึ่งไม่เคยสงสมัครเลือกตั้งมาก่อน เคยเป็นเพียงที่ปรึกษาและเป็นอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจในรัฐบาลฟรองซัวส์ ออลลองด์ โดย Macron ไม่ได้สังกัดอยู่กับพรรคเดิมคือพรรคสังคมนิยม หรือ Parti Socialiste แต่ลงเลือกตั้งในฐานะผู้สมัครอิสระ กลับได้ชัยชนะเหนือ Le Pen สร้างความเซอร์ไพรส์ โดยเฉพาะเมื่อเขาถูกมองว่าการต่อสู้ในการเลือกตั้งรอบสองจะชนะด้วยเสียงโหวต 68 ต่อ 32
โดยล่าสุด Le Pen ได้ออกมาตอกย้ำอีกว่าฝรั่งเศสไม่อาจฝากความหวังไว้กับ "ทายาททางการเมือง" ได้อีกต่อไป พร้อมกับเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสผู้รักชาติออกมาลงคะแนนเสียงให้กับเธอในการเลือกตั้งรอบตัดสินในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้

2.ฝรั่งเศสซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มยูโรโซน แต่กลับฟื้นตัวหลังวิกฤตการเงินในปี 2008 ได้อย่างเชื่องช้า ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะพยายามปฏิรูปกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้อิสระกับนายจ้างมากขึ้นทั้งในการเพิ่มชั่วโมงทำงาน ลดค่าจ้าง และปลดพนักงาน แต่ร่างกฎหมายนี้กลับถูกปฏิเสธ และหมดหวังที่จะใช้ปรับปรุงเศรษฐกิจจากคนฝรั่งเศสเอง
เนื่องจากหนึ่งในประเด็นที่ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนชาวฝรั่งเศสกำลังเผชิญ ก็คืออัตราการว่างงานขณะนี้ที่มีสูงถึง 1 ใน 4 ของกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี ขณะที่อัตราว่างงานเฉลี่ยทั้งประเทศสิ้นปี 2016 ยังสูงถึง 10% ส่วนจีดีพีของรั่งเสสก็ยังคงขยายตัวเพียง 1% ตามหลังเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันอย่างเยอรมนีและอังกฤษที่กำลังดำเนินการเพื่อถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู)
อย่างไรก็ตาม แม้คนฝรั่งเศสกลุ่มใหญ่ ไม่ต้องการให้นโยบายคนเข้าเมืองและเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับอียู ซึ่งเป็นสิ่งที่ Le Pen นำสนอนั้นถูกใจคนกลุ่มใหญ่นี้ แต่ผลการเลือกตั้งรอบแรกที่ Macron เป็นฝ่ายชนะเหนือ Le Pen กลับถูกมองกลุ่มคนรุ่นใหม่อาจจะต้องการให้มีอำนาจต่อรองทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจในเวทีโลก ยังจำเป็นต้องรวมกลุ่มกับอียู โดยเฉพาะการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาคนอพยพเข้าเมือง
คำถามของคนฝรั่งเศสในการสู้เลือกตั้งรอบสองนั้น ใครจะสามารถตอบโจทย์ได้โดนใจมากกว่ากัน จึงถือเป็นเดิมพันที่สูงในการชี้ชะตาทิศทางของฝรั่งเศสกับอนาคตของยุโรปซึ่งเป็นผลสะท้อนภาพจากแนวคิดและนโยบายที่สุดขั้วในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากคนฝรั่งเศสจำนวนมากต้องการออกจากระบบเดิมๆ และออกนอกกรอบ ตามอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หรือไม่

3.ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB เตรียมพร้อมสำรอเงินฉุกเฉินให้กับธนาคารของฝรั่งเศสหลังประกาศผลการเลือกตั้งในรอบแรก ส่วนเงินยูโรพุ่งแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.09 ดอลลาร์ต่อยูโร สวนทางเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง โดยที่ Dollar Index ร่วงหลุด 99.00 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่พฤศจิกายนปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อดัชนีดาซโจนส์ฟิวเจอร์สพุ่งขึ้นกว้า 200 จุด ส่วนนิคเคอิญี่ปุ่นพุ่งขึ้นกว่า 269 จุดในช่วงเปิดตลาด สวนทางกับราคาทองที่ลดลงแตะ 1,273ดอลลาร์ต่อออนซ์

4.นอกจากนี้ มีรายงานว่า ทั้ง ECB และธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ ยังคงเดินหน้าอัดฉีด QE เข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินในตลาดสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 4 เดือนแรก คาดว่าทั้งปีนี้จะมีการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเป็นวงเงินถึง 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ โดยไม่คำนึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสถานการณ์ตลาดการเงินทั่วโลก
ทั้งนี้จากรายงานของ Citi Research ชี้ว่านับตั้งแต่ปี 2000-2016 นั้น ธนาคารกลางที่เป็นเสาหลักของโลก 6 แห่งที่ประกอบด้วย ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ธนาคารกลางสวิส (SNB) ธนาคารกนลางอังกฤษ (BOE) ธนาคารกลางจีน (PBOC) รวมทั้ง ECB และ BOJ มีการอัดฉีดเงินเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ จนส่งผลต่อภาระงบดุลของตนเองนั้นมีจำนวนยอดเงินรวมกว่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ โดยยังไม่นับรวมวงเงินอีก 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะเข้ามาซื้อสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งถือเป็นปริมาณที่เป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เกืดวิกฤติการะเงินโลกปี 2007


5.ภาวะการล้มละลายและเลิกกิจการค้าปลีกในสหรัฐ มากกว่า 2,800 รายในช่วง 4 เดือนแรกปี 2017 นี้ ส่อเค้าอาจเกิดภาวะเป็นฟองสบู่แตกอีกหนึ่งธุรกิจ โดยที่ Credut Suisse คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้ อาจจะมียอดพุ่งสูงถึง 8,640 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่มากกว่าปี 2008 ซึ่งมรจำนวน 6,200 ราย
หลังจากที่แนวโน้มจีดีพีสหรัฐที่การชะลอตัวลงมากในช่วงไตรมาสแรกเหลือแค่ 0.5% จากที่เคยประมาณการไว้เดิมว่าจีดีพีจะเติบโต 2.5% ซึ่งนั่นหมายถึงเศรษฐกิจสหรัฐจะเจอกับปัญหาตกต่ำลงโดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบสยการขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้
อีกทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาอย่างรุนแรงจากการแข่งขันทางด้าน E-Commerce ซึ่งปัจจุบันมียอดขายที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็น 15.5% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 10.5% นอกจากนี้มาร์จินกำไรของการค้าปลีกยังตกต่ำลงถึง 9% ในปีที่แล้ว เทียบกับการมีส่วนต่างกำไรสูงถึง 10.5% ในปี 2012

logoline