พิธีสาบานตนประธานาธิบดีหรัฐอเมริกาเป็นพิธีอย่างทางการของการเปลี่ยนผ่านอำนาจ และในพิธีสาบานตนครั้งแรกของจอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรก จัดขึ้นที่ศาลาว่าการนครนิวยอร์กเมื่อ 30 เม.ย.2332 โดยกล่าวคำปฏิญาณว่า ผมขอสาบานว่าจะบริหารงานในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาด้วยความซื่อสัตย์ และทำหน้าที่อย่างดีที่สุดตามความสามารถ เพื่อรักษา คุ้มครองและปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา เขายังเพิ่มประโยคว่า ขอพระเจ้าอำนวยพร ทำให้ประธานาธิบดีรุ่นต่อมาล้วนกล่าวคำนี้ จากนั้นเขากล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา โดยในช่วงค่ำมีพิธีเฉลิมฉลองโดยจุดพลุ 13 ลูก และยิงปืนใหญ่ 13 นัด
และในพิธีสาบานตนสมัยที่สองของวอชิงตันในปี 2336 เขากล่าวสุนทรพจน์เพียง 135 คำ ซึ่งเป็นสุนทรพจน์รับตำแหน่งที่สั้นที่สุด
แต่ในอีก 48 ปีต่อมา ประธานาธิบดีวิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน กล่าวสุนทรพจน์ยาวถึง8,495 คำ และหลังใช้เวลาพูดเกือบ 2 ชม.ท่ามกลางอากาศหนาว โดยไม่ได้สวมเสื้อโค้ทสำหรับฤดูหนาว ทำให้เขาป่วยด้วยโรคปอดอักเสบและเสียชีวิตในหนี่งเดือนถัดมากลายเป็นผู้นำที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด
ต่อมาภายใต้บทแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 20 เปลี่ยนกำหนดวันสาบานตนรับตำแหน่งจากเดือนมี.ค.เป็น 20 ม.ค. แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ เป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายที่สาบานตนใน 4 มี.ค.2476 และหลังได้รับเลือกตั้งอีกสมัย เขาจึงเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่สาบานตนใน 20 ม.ค.2480 เขายังเป็นคนแรกที่ริเริ่มธรรมเนียมไปโบถส์ช่วงเช้าวันสาบานตน ทำให้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา
ขณะที่หนึ่งในหลายสุนทรพจน์รับตำแหน่งยอดเยี่ยม คือ สุนทรพจน์ในปี 2504 ของจอห์น เอฟ เคนเนดี ประธานาธิบดีอายุน้อยที่สุด โดยประโยคที่กินใจชาวอเมริกันจวบจนทุกวันนี้ คือ "จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน จงถามว่าท่านจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติ" ซึ่งปลุกสำนึกความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพลเมืองชาวอเมริกัน
ส่วนพิธีสาบานตนในยุคนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่จะไปพบผู้นำคนปัจจุบันที่ทำเนียบขาว ก่อนไปยังลานพิธีสาบานตนที่เชิงบันไดอาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตันซึ่งจะมีสมาชิกรัฐสภา ผู้พิพากษาศาลสูง เจ้าหน้าที่รัฐบาล และข้าราชการเข้าร่วมพิธีประธานาธิบดีจะกล่าวคำสาบานตามคำกล่าวนำของประธานศาลฎีกา และจะกล่าวปราศัยครั้งแรกเพื่อบอกแนวทางการทำงานและภาระหน้าที่