svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

เงินดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง! Dollar Index พุ่งทะลุสูงสุดในรอบ 8 ปี

28 พฤศจิกายน 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

พลังอำนาจการซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกันเพิ่มสูงขึ้นถึง 20% ในช่วงที่ดอลลาร์แข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินทั่วโลกในขณะนี้ หลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐในช่วง 2 สัปดาห์ครึ่ง โดย Dollar Index พุ่งทะลุยืนเหนือระดับ 102 สูงสุดในรอบ 8 ปี ผลักดันให้เงินดอลลาร์แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินในอีกซีกโลกหนึ่ง เงินหยวนกลับอ่อนค่าเฉียด 7 หยวนต่อดอลลาร์เข้าไปทุกที โดยมีรายงานว่าธนาคารกลางจีนเล็งจะสกัดเงินหยวนที่ไหลออกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมผ่านมาตรการที่เรียกว่า capital control จากการที่ธุรกิจของจีนมีการนำเงินออกไปซื้อกิจการในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆส่วนผลกระทบที่มีต่อประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีค่าเงินร่วงลงต่ำสุดในรอบ 7 ปีเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์นั้น ล่าสุดไอเอ็มเอฟออกมาชี้ว่า 2 ประเทศคือไทยและฟิลิปปินส์ที่มีฐานะเงินทุนสำรองอยู่ในระดับสูงที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะต้านทานแรงกดดันที่มีต่อสกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย เมื่อปริมาณเงินดอลลาร์ในตลาดการเงินโลกเริ่มที่จะมีจำนวนลดลง เนื่องจากปริมาณเงินดอลลาร์ที่ถูกดูดเข้าสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา
1.คำถามก็คือว่า แล้ว Dollar Index จะยังคงแข็งค่าต่อไปอีกนานแค่ไหน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า หลังจากที่เกิดการถล่มทลายจากการแรงเทขายบอนด์ทั่วโลก แม้แต่ในตลาดบอนด์สหรัฐก็ถูกถล่มขายด้วยนั้น ทำให้ราคาบอนด์ดิ่งลงฮวบฮาบ ดังนั้นการที่ธนาคารกลางสกรัฐ (เฟด) จะใช้นโยบายดอกเบี้ยหรือมาตรการเข้าซื้อบอนด์เหมือนช่วงวิกฤติการเงินในสหรัฐนั้น อาจไม่มีความเหมาะสมต่อไป
แต่เฟดก็เลือกที่จะเข้าแทรกแซงค่าเงินดอลลาร์โดยรักษาปริมาณเม็ดเงินการเข้าแทรกแซงไว้ที่ระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ในงบดุลทุกๆ สองวัน เพื่อที่จะดูแลเงินดอลลาร์ให้มีเสถียรภาพต่อไป รวมทั้งอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเยี้ยนโยบายอีก 0.25% ในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อที่จะรักษาอำนาจการซื้อของคนอเมริกันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นด้วย
2.ปริมาณเงินจำนวนมหาศาลที่เคยไหลเข้าตลาดจีนเป็นเวลาหลายปี กำลังพลิกผัน เมื่อเงินเริ่มไหลออกจากการขายทำกำไรของบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008-2009 ใกล้ 7.00 หยวนต่อดอลลาร์เข้าไปทุกที เมื่อ offshore หยวนที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศอ่อนค่าแตะ 6.96 ไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าเงินหยวนที่ซื้อขายในประเทศจีนหรือ onshore หยวนจะเคลื่อนไหวที่ 6.92 ต่อดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานอกจากนี้ การที่วิสาหกิจจีนนำเงินออกไปลงทุนซื้อกิจการในต่างประเทศ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กระทบค่าเงินหยวนในอีกทางหนึ่งด้วย โดยมีรายงานข่าวเป็นระยะว่าธนาคารกลางจีนจะเริ่มใช้มาตรการ capital control มีภาวะที่เหมาะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดูแลวิสาหกิจของจีนที่นำเงินออกไปเทคโอเวอร์ในต่างประเทศทั้งนี้มีรายงานว่า กลุ่มผู้ซื้อชาวจีนประกาศว่ามีการใช้เม็ดเงินถึง 2.13 แสนล้านดอลลาร์ไปเทคโอเวอร์กิจการต่างประเทศในปี 2016 นี้ เปรียบเทียบกับเม็ดเงินที่มีการเทคโอเวอร์ทั่วโลก 3.28 ล้านล้านดอลลาร์n
ขณะเดียวกันมีรายงานเคลื่อนไหวของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐเมื่อเร็วๆ นี้ระบุถึงสภาคองเกรสควรที่ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้วิสาหกิจของจีนที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของไม่สามารถเข้าซื้อกิจการโดยถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทสหรัฐโดนเฉพาะธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากมีความกังวลว่าวิสาหกิจเหล่านี้จะใช้เทคโนโลยี และอำนาจในตลาดให้กับทางการปักกิ่ง
3. ตั้งแต่ต้นปี 2016 เป็นอีกปีหนึ่งที่วิสาหกิจจีนชื่นชอบกับการช็อปปิ้งเพื่อซื้อกิจการในต่างประเทศ โดยมีการเสนอซื้อกิจการในราคาที่ให้พรีเมียม 50-100% กับกิจการที่ประสบความล้มเหลว เป็นการลงทุนในสหรัฐเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นวงเงินกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อมาเป็นการลงทุนในสวิตเซอร์แลนด์วงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามด้วยบราซิล 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ออสเตรเลีย 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ฮ่องกง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ อิสราเอล 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เยอรมนี 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ฟินแลนด์ 9 พันล้านดอลลาร์ และประเทศอื่นๆอีกราว 4 พันล้านดอลลาร์
4.ส่วนหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ตลาดยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ในวัน Black Friday หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า โดยที่ดาวโจนส์พุ่งขึ้นยืนเหนือระดับ 19,152 บวก 0.36% S&P 500 ปรับตัวขึ้นที่ 2,213 บวก 0.39% รวมถึง Nasdaq พุ่งขึ้นเฉียด 5,400 ปิดที่ 5,398 บวก 0.34% โดยที่ปัจจัยการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังคงเป็นแรงหนุนให้ดัชนีหุ้นเดินหน้าย่างต่อเนื่อง Dollar Indexย่อตัวลงเล็กน้อยปิดที่ 101.44 ในวันศุกร์ โดยเคลื่อนไหวในเช้าวันจันทร์ที่ 101.27 ขณะที่ผลตอบแทนบอนด์ (บอนด์ยีลด์) ของรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ยังคงอยู่ในอัตราสูง ล่าสุดอยู่ที่ 2.37%
5.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอ ระบุไทยและฟิลิปปินส์มีทุนสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีความพร้อมที่จะเผชิญความผันผวนของค่าเงิน หลังจากที่มีการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมานับแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียปี 1997
ทั้งนี้ฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยในสิ้นปี 2016 จะอยู่ที่1.63 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าระดับดุลยภาพที่เป็นเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอยู่ที่ 6.49 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น โดยมีค่าเงินที่อ่อนตัวลง ล่าสุดเงินบาทอยู่ที่ 35.60 ต่อดอลลาร์ เทียบกับก่อนเลือกตั้งที่ 34.94 บาท ขณะเดียวกันฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศของฟิลิปปินส์ในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 8.4 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าเกณฑ์ดุลยภาพที่ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเงินเปโซอยู่ที่ 49.80 ต่อดอลลาร์ เทียบกับก่อนเลือกตั้งที่ 48.67 เปโซ
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อแนวโน้มของไทยและพิลิปปินส์นั้นใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่ต้องเตรียมรับมือเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัวเปราะบาง ขณะที่อาจเกิดปัญหาเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น


logoline