อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนได้แรงบันดาลใจจากการถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชด้วยการวาดภาพประกอบพระราชนิพนธ์พระมหาชนก มาสร้างผลงานทางศิลปะสมัยรัชกาลที่ 9 ที่วัดร่องขุ่น จากนั้นตนได้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่มาโดยตลอดโดยหนึ่งในสิ่งตนตั้งใจทำมากที่สุดคือการจัดสร้างพระพุทธรูปที่มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยความเป็นศิลปะสมัยรัชกาลที่ 9 ทำให้ที่ผ่านมาก็จัดสร้างแล้วหลายองค์แล้วนำไปประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถขาวและที่อื่นๆ ภายในวัด แต่ตนก็ยังคิดว่าทั้งหมดยังไม่ถึงที่สุด ดังนั้นจึงใช้เวลากว่า 2 ปีในการจัดทำพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นเพื่อให้มีความงดงามที่สุดและไม่ลอกเลียนแบบศิลปะของยุคสมัยใดไม่ว่าจะเป็นสมัยกรุงสุโขทัย กรุงศีรีอยุธยา ฝาผนังต่างๆ รูปแบบจึงไม่ซ้ำยุคใดแต่เป็นศิลปะยุครัชกาลที่ 9
"ที่ผ่านมาผมตั้งใจทำอย่างเต็มที่จึงจัดทำแล้วแก้ไขอีกๆ แล้วหลายรอบ จนปัจจุบันคาดว่าน่าจะแก้ไขอีกแค่ 1-2 ครั้งก็คงจะแล้วเสร็จโดยตั้งใจว่าจะนำไปทำการหล่อสัมฤทธิ์ให้ได้ตามขนาดแล้วนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระองค์ รวมทั้งขอพระราชทานชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ด้วย จากนั้นตั้งใจจะทำจำลององค์นี้เอาไว้โดยให้มีความใหญ่กว่าเดิมเพื่อนำประดิษฐานภายในวัดร่องขุ่นเพื่อให้เป็นสิริมงคลภายในวัดต่อไป แต่เมื่อไม่ได้มีโอกาสนำขึ้นทูลเกล้าถวายแล้ว จึงตั้งใจว่าจะยังคงจัดสร้างต่อไปให้เสร็จ จากนั้นจะนำประดิษฐานหน้ามหาวิหารอันงดงามซึ่งกำลังสร้างเป็นเกาะกลางน้ำภายในวัดร่องขุ่นเพื่อให้ผู้คนได้เข้าไปสักการะบูชา"อาจารย์เฉลิมชัยกล่าว