svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

นายกฯ ถกผู้นำ-สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน

07 กันยายน 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถกผู้นำ-สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ย้ำ ไทยให้ความสำคัญอำนวยความสะดวกการลงทุน

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ในเวลา 13.35 น. ณ ห้องหมายเลข 3 ศูนย์ประชุม NCC พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน ได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN Leaders Interface with ASEAN Business Advisory Council) เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านการค้าและการลงทุนกับผู้นาภาคเอกชนของอาเซียน
โดยในที่ประชุมฯ มีการรับทราบกิจกรรมและผลการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน และมีการหยิบยกเรื่องการพัฒนาและขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนของอาเซียนในด้านการค้าและการลงทุน

นายกฯ ถกผู้นำ-สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน


สำหรับผู้แทนฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ คือ 1) นายอรินทร์ จิรา รองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 2) นายไพรัช บูรพชัยศรี กรรมการเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ 3) นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย
โดย พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้แสดงความสนับสนุนข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และยินดีที่ภาคที่ธุรกิจมีการจัดทำ
ประการแรก ประเทศไทยให้ความสำคัญกับระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน การพัฒนาธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย และการส่งเสริมพาณิชย์ ซึ่งเป็นประโยชน์ และแสดงความสนับสนุน

นายกฯ ถกผู้นำ-สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน


ประการที่สอง ไทยยินดีที่ภาคเอกชนมีการจัดทำสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาเซียนซึ่งจะเป็นหลักสูตรออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ได้มีโอกาสในการยกระดับความรู้และขีดความสามารถไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งภาคเอกชนจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันซึ่งกันและกัน รวมทั้งอาจพิจารณาจัดให้มีการฝึกอบรมเป็นรายสาขาให้กับผู้ประกอบการในสาขาที่อาเซียนมีศักยภาพ หรือสาขาที่จะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต เช่น สาขาอาหาร โลจิสติกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งภาครัฐยินดีสนับสนุนเพื่อให้ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ของอาเซียนพัฒนาไปสู่การเป็นนวัตกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเกิดใหม่ (SME Start- Ups) ได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ประเด็นที่ภาคเอกชนจะสามารถมีบทบาทได้มาก คือ ด้านการวิจัยและพัฒนา โดยอาเซียนภายหลังปี ค.ศ. 2015 ให้ความสาคัญกับการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย โดยการนำเครื่องมือและวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ ซึ่งไทยเห็นว่าเอกชนสามารถช่วยสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนและการเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลกในระดับที่สูงขึ้น

นายกฯ ถกผู้นำ-สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน


ในส่วนของไทย ได้มีการดำเนินการเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธุรกิจ Start-ups ผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งอาเซียนสามารถดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เช่น โครงการประชารัฐ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการต่างๆ ด้วยความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนกว่า 60 องค์กร โดยนักธุรกิจที่ประสบความสาเร็จมาเป็นพี่เลี้ยงให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการจัดทำโมเดล "ประเทศไทย 4.0" เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม "Value-Based Economy"
ประการที่สาม รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกและลดภาระของภาคธุรกิจ โดยปรับปรุงกฎหมายและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งธุรกิจ อาทิ การออกพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายกลางที่กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาต การจัดให้มีช่องทางในการรับคำขอ ณ จุดเดียว และมีคู่มือสำหรับประชาชนเพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการขออนุญาต ขั้นตอน ระยะเวลา เอกสารหลักฐาน และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมทั้ง อำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถยื่นคำขอผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์แทนการยื่นคำขอด้วยตนเองได้ เป็นต้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอให้ภาคธุรกิจอาเซียนมั่นใจว่า รัฐบาลไทยจะยังคงให้ความสำคัญในลำดับต้นกับการดำเนินงานเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุนและการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน ซึ่งถือเป็นกำลังหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคต่อไป

logoline