นายทักษิณ กล่าวว่า ในส่วนกรณีไอ โชว์ เอ็นเตอร์เทนเม็นท์ จำกัด เรามีนโยบายในการทำงานคือเป็นเหมือนพื้นที่ ที่ให้คนมีความสามารถเข้ามาแสดงออกกัน เรามีทั้งสายวีเจทอล์ค ไว้พูดคุย วีเจสายแดนซ์ วีเจสายร้องเพลง วีเจสายเล่าเรื่อง วีเจสายเซ็กซี่ และอีกหลายแบบแต่ไม่มีการแสดงออกในการลักษณะโป๊ เปลือย อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องที่นางศิริกานต์ ศิรสิทธิ์ดำรงกิจ อายุ 53 ปี แม่ค้าขายของชำพร้อมด้วยนายระพีพัชร ศิรสิทธิ์ดำรงกิจ อายุ 28 ปี ลูกชายและแฟนของวีเจโฟร์ เข้าร้องทุกข์กับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ตรวจสอบแอฟพลิเคชัน ไอ โชว์(iShow) เพราะเกรงว่าจะเป็นแอฟฯที่ใช้หลอกให้โอนเงินในนั้น ทางบริษัทยินดีให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายหากเจ้าหน้าที่ตำรวจขอติดต่อมา หรือหากทางคู่กรณีจะขอเจรจาเราพร้อมเพราะอยากให้เรื่องจบลงด้วยดี ส่วนเงินที่นายระพีพัชร ขโมยมากว่า 1.2 ล้านบาท แล้วนำมาซื้อไอเทม ในแอพฯนั้น คาดว่ายอดเงินจริงไม่น่าจะถึง ต้องทำการตรวจสอบก่อน แต่เรื่องการจะคืนเงินให้คู่กรณีหรือไม่นั้นอยากให้เข้ามาคุยกันก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณีเลย
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้การคัดวีเจเข้ามาร่วมทำงานกับทางบริษัทนั้น เราจะรับสมัครผ่านทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะมีเงื่อนไขและระเบียบการก่อนสมัครอยู่แล้ว หลังจากสมัครมาก็จะมีการคัดเลือก ถ้ามีคุณสมบัติพร้อม มีความสามารถโดดเด่น ก็จะส่งไปประจำสังกัดวีเจต่างๆซึ่งขณะนี้มีกว่า 30 สังกัด มีวีเจกว่า 1,000 คน และแต่ละสังกัดจะมีกฎระเบียบในแต่ละสังกัดด้วย เช่น ห้ามคุยแบบส่วนตัวกับผู้ที่เข้ามาชมขณะออกอากาศ ซึ่งวีเจส่วนใหญ่จะจ้างในลักษณะฟรีแลนด์ และจ่ายค่าจ้างจากส่วนแบ่งที่ผู้ชมซื้อไอเทมเข้ามาให้กำลังใจ ซึ่งขณะออกอากาศนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ดูแล 24 ชม. ห้ามพบว่าวีเจคนใดที่ละเมิดกฎระเบียบเจ้าหน้าที่จะแจ้งเตือน หากไม่เชื่อก็จะตัดการออกอากาศทันที
ทั้งนี้ การจะเข้ามาแสดงความสามารถนั้นทางบริษัทไม่ได้หนดขึ้นอยู่กับวีเจความพร้อมจะเข้ามาแสดงความสามารถหรือไม่ แต่ทุกคนที่จะออกอากาศต้องติดต่อเข้ามาที่บริษัททุกคน
"กรณีของดีเจโฟร์นั้นเราแบ่งออกเป็น 2ส่วน คือเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ในเรื่องงานนั้น วีเจโฟร์ ทำงานเป็นหัวหน้าสังกัดหนึ่งในบริษัท ตั้งแต่ทำงานไม่เคยทำผิดกฎระเบียบ ขยัน ทำงานสุจริตเหมือนคนทั่วไป ขณะนี้ทางบริษัทยังไม่ได้มีการพักงานแต่อย่างใด ส่วนเรื่องส่วนตัวทางบริษัทจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่จะมีการเรียกมาพูดคุยกันอีกที เพราะเรื่องดังกล่าวก็ส่งผลกับบริษัทด้วย"นายทักษิณ กล่าว
ด้าน นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า การทำงานของโปรแกรมไอโชว์ก็เหมือนกับการซื้อบัตรเข้าคอนเสิร์ต เมื่อสมาชิกเข้ามาชม เมื่อถูกใจหรืออยากให้กำลังใจวีเจก็สามารถซื้อไอเทมส่งในวีเจได้ ซึ่งแต่ละไอเทมจะมีจำนวนเงินระบุบอกหน่วยเป็นตัวซี เช่น100ซี เท่ากับ1บาท ทุกครั้งที่ผู้ชมจะส่งไอเทมให้วีเจนั้นโปรแกรมจะขึ้นเตือนว่ากำลังจะไอเทมให้วีเจเพื่อให้ผู้เข้าชมยืนยันการส่งอีกครั้งป้องกันการกดผิด ซึ่งสมาชิกที่สมัครเข้ามานั้นมีทั้งสมาชิกที่เสียเงินและสมาชิกที่ชมฟรี โดยทั้ง2อย่างจะมีสิทธ์ในการเข้าชมวีเจได้ทุกห้องเหมือนกัน แต่สมาชิกที่เสียเงินจะแบ่งออกเป็นหลายระดับ เป็นการแบ่งเกรดผู้เข้าชม ซึ่งในแอฟจะขึ้นโชว์สัญลักษณ์ว่าอยู่ในระดับไหน ขึ้นอยู่กับเงินที่สะสมอยู่ในระบบ เปรียบเสมือนการแต่งตัวให้ตัวเองดูเท่ขึ้น สมาชิกแต่ละระดับนั้นจะมีความพิเศษคือสามารถคุยส่วนตัวกับวีเจได้ สามารถซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็นได้ สามารถส่งไอเทมในหมวดวีไอพีได้
ทั้งนี้ การสมัครสามาชิกนั้นคนหนึ่งสามารถมีได้หลายแอคเค้าท์ได้ จากกรณีของวีเจโฟร์หากถามว่ามีเงินที่นายระพีพัชร เข้ามาในแอฟฯจำนวนเท่าไรนั้น เราต้องไปดูว่านายระพีพัชร ใช้แอคเค้าท์ในการเข้าชมกี่แอคเค้าท์จึงจะตรวจสอบได้
ขณะที่ วีเจโฟร์ อธิบายว่า ในเรื่องความสัมพันธ์กับนายระพีพัชรนั้น ตนรู้จักกันผ่านแอพฯตั้งแต่เดือนเมษายน 2558 และมาพูดคุยกันเมื่อเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันอีกเลย แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงนายระพีพัชรอยู่เหมือนกัน ส่วนเรื่องรายละเอียดตนได้ชี้แจงผ่านเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า VJFour suaymaisrang แล้ว
ทั้งนี้ในเพจเฟสบุ๊กที่ใช้ชื่อว่าVJFour suaymaisrang ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพการคุยไลน์ระหว่างดีเจโฟร์และนายระพีพัชร โดยระบุว่า"หากอยากรู้ความจริงกรุณาอ่านให้จบค่ะ
- ประเด็นที่ 1 ความสัมพันธ์เรารู้จักเขาประมาณต้นปีจากการที่เขาเข้ามาเล่นแอพพลิเคชั่น ซึ่งเราทำงานเป็นวีเจ ในบรรดาวีเจหลายๆคนก็รู้จักฝ่ายชาย เพราะเขามักส่งของขวัญให้กับวีเจหลายๆคน จากนั้นเขาเริ่มมาติดตามเราประมาณช่วงเดือนมีนาคม 2559 เราก็คุยกับเขาเป็นพิเศษ เขาส่งของขวัญให้เรามากขึ้น จากนั้นเมื่อประมาณช่วงสงกรานต์ เราเดินทางกลับบ้านที่ลำปาง ขากลับเดินทางเข้าพัทยา เราและพี่สาวได้แวะเอาของฝากจากภาคเหนือไปฝากเขา นัดเจอกันที่ปั๊มน้ำมันจังหวัดอยุธยา ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรก จากนั้นเราก็ศึกษาดูใจกับเขาเรื่อยมา โดยเขาพาเราไปบ้านหลายครั้ง แนะนำเราให้รู้จักกับครอบครัวของเขา แต่มารดาของฝ่ายชายไม่พอใจให้คบกัน เราได้พยายามปรับตัวเพื่อให้มารดายอมรับ
มีอยู่วันหนึ่งเขาได้ไลน์มาถามเราว่ารู้จักทางไปบ้านหมอจับเส้นแห่งหนึ่งที่จังหวัดเลยใช่มั้ย เขาบอกว่ามารดาเขาได้ชวนเราไปกับครอบครัวเขาด้วย เราก็เลยขับรถของเรานำทางพาไป เราก็เข้าใจว่ามารดาเขายอมรับเราแล้ว เราก็ไปมาหาสู่กับทางฝ่ายชายเรื่อยมา จนกระทั่งเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม 2559 เราจะต้องเดินทางไปพัทยาเพื่อไปเฝ้าบ้านให้พี่สาว มารดาของฝ่ายชายบอกให้ลูกชายนั่งรถมาเป็นเพื่อนกลับพัทยา เพราะเห็นว่าเรากลับคนเดียว เพราะตอนนั้นเย็นมากแล้ว ฝ่ายชายยังได้บอกกับแม่ว่า ถ้าให้ไปต้องไปหลายวันนะ เพราะมีธุระหลายวัน มารดาก็รับทราย จากนั้นเรากับฝ่ายชายเดินทางไปพัทยาเราก็เห็นว่าฝ่ายชายโทรหามารดาเพื่อที่จะบอกว่าถึงแล้วนะ ปรากฏว่ามารดาไม่ได้รับสาย เพราะฉะนั้นที่มารดาฝ่ายชายแจ้งความอ้างว่าลูกชายเขาหายออกจากบ้านไปพร้อมเราไม่ทราบว่าหายไปไหน ไม่เป็นความจริง มารดาฝ่ายชายรู้ดีแก่ใจ
จากนั้นวันที่ 17 กรกฎาคม 2559 ฝ่ายชายได้พูดคุยโทรศัพท์กับมารดาของเขา ด้วยท่าทีที่มีปัญหา เหมือนทะเลาะกัน เราได้พยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฝ่ายชายก็ไม่ยอมตอบ จนกระทั่งฝ่ายชายยื่นโทรศัพท์ให้พร้อมบอกว่ามารดาขอคุยด้วย เรารับโทรศัพท์มาพูดคุยกับมารดาของเขา ปรากฏว่ามารดาฝ่ายชายต่อว่าด่าทอด้วยถ้อยคำเสียๆหายๆ ด่าครอบครัวของเรา ด่าว่าอาชีพของเรา กล่าวหาว่าเราเป็นผู้หญิงขายบริการ แม่เราเป็นแม่เล้า ทั้งที่ไม่ได้เป็นความจริงเลย มารดาของฝ่ายชายบอกเราว่า ฝ่ายชายเอาเงินของเขาไป เราก็เข้าใจว่าเป็นเงินที่ฝ่ายชายให้เรามา 1 แสนบาท เพื่อช่วยในการดาวน์รถ พอเราทราบเรื่องว่าเป็นเงินที่เขาเอามาจากมารดาเราก็โอนเงินไปคืนมารดา1 แสนบาททันที เราก็คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว
ต่อมาวันที่ 18 กรกฎาคม 2559 ฝ่ายชายก็ยังไปเป็นเพื่อนเราออกรถใหม่จากโชว์รูม หลังจากนั้นประมาณช่วง4โมงเย็น เราได้รับข่าวจากเพื่อนว่า มีการแจ้งความจับลูกชายแล้วพาดพิงถึงเรา โดยหาว่าเราเอาเงินไปจำนวน 1 ล้าน 2 แสนบาท ซึ่งมันไม่จริง
- ประเด็นที่ 2 เรื่องเงินวันที่ 7 มีนาคม 2559 เขาได้โอนเงินผ่านบัญชีของเรา ให้เราเติมเงินใส่แอคเคาท์ของเขา เพื่อที่เขาจะได้เอาไปซื้อของขวัญให้วีเจทั้งหลายที่อยู่ในแอพพลิเคชั่น ช่วงเดือนเมษายน เขาก็ยังคงโอนเงินผ่านเราเพื่อเติมเงิน แต่เริ่มมีการโอนเงินบางส่วนเพื่อให้เราไว้ใช้ ในฐานะที่เรากำลังศึกษาดูใจกับเขา และเขายังคงโอนเงินในลักษณะนี้จนถึงเดือนมิถุนายน 2559 แล้วเดือนกรกฎาคม 2559 เขาได้โอนเงินจำนวน 99,880 บาทเพื่อช่วยในการดาวน์รถ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 481,870 บาท โดยแบ่งเป็นเงินที่เขาฝากเราเติมเงินเพื่อให้เราโอนเข้าบริษัทเป็นเงินจำนวน 261,500 บาท และเมื่อเกิดเรื่องขึ้น เราได้โอนเงินดาวน์รถจำนวน 99,980 บาทคืนแก่มารดาฝ่ายชาย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2559 เวลา 11.13 น. เป็นที่เรียบร้อย และก่อนหน้าที่จะมีเรื่องดังกล่าวเราเคยยืมเงินเขาแล้วก็ได้โอนเงินคืนเขาไป 20,000 บาท จะเหลือเงินที่เขาให้เราจริงๆสำหรับใช้ส่วนตัวสุทธิแล้วอยู่ที่ 100,490 บาท ซึ่งจำนวนนี้เขาให้เราไว้ติดตัวใช้จับจ่ายซื้อของตามประสาผู้หญิง เงินจำนวน100,490บาทไม่ได้โอนมาครั้งเดียวแต่โอนมาทีละบางส่วน
ดังนั้นเงินที่เราได้รับจากเขาจริงๆแล้วมีเพียงแค่ 100,490 บาท ไม่ได้เป็นไปตามข่าวแต่อย่างใด ส่วนเขาจะนำเงินมาจากไหน เราไม่เคยทราบ เราเข้าใจว่าเขาทำมาหากินเอง เป็นคนเลี้ยงดูครอบครัว เพราะเป็นคำพูดที่เขาบอกเราเสมอมา เราก็ยังชื่นชมเขา ที่อายุ 28 ปีแล้วสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
- ประเด็นที่ 3 เราไม่ได้บังคับขู่เข็ญหรือหลอกลวงเขาแต่อย่างใดส่วนมากในการโอนเงินแต่ละครั้ง เขาจะเป็นฝ่ายเสนอตัวโอนเงินมาเอง อย่างเช่น วันที่ 20 เมษายน 2559 เขาก็ได้โอนเงินเข้ามา 59,900 บาท โดยที่เราไม่ทราบมาก่อนว่าเขาจะโอนเข้ามา และไม่เคยขอเขา แต่เขาก็โอนให้ เราเองยังได้ต่อว่าเขาว่ามันเยอะเกินไป ดังหลักฐานที่ปรากฏในไลน์
- ประเด็นที่ 4 ทิ้งเขาที่รังสิตเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2559 พอเราทราบเรื่องว่ามีการแจ้งความกัน ฝ่ายชายพยายามโทรศัพท์คุยกับมารดา และโต้เถียงกันผ่านไลน์ เราได้เก็บหลักฐานไลน์จากเครื่องของฝ่ายชายว่าเขาไม่ให้เราไปกับลูกชายเขา เขาต้องการตัวลูกชายเขากลับเพียงคนเดียว เราได้ปรึกษากับฝ่ายชายว่าให้เขากลับไปคุยกับมารดาก่อน แล้วฝ่ายชายขอให้เราไปส่งที่อยุธยา เราและพี่สาวก็ยินยอมที่จะไปส่ง แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนให้เราไปส่งที่ปั้มน้ำมันแถวรังสิต เพราะฝ่ายชายได้นัดให้น้องเขยกับน้องสาวไปรับแถวรังสิต เราและพี่สาวก็ได้ไปส่งเขาที่ปั้มดังกล่าว โดยรถที่มารับเขาเป็นรถฟอร์จูนเนอร์สีบอลล์ทอง ซึ่งเป็นรถน้องเขยเขา จากนั้นเมื่อเราเดินทางกลับถึงบ้านของเราที่พัทยา ก็ปรากฏข่าวออกตามสื่อว่าวีเจสาวชิ่งหนีทิ้งฝ่ายชายไว้ที่รังสิต ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
- ประเด็นที่ 5 ทนายขู่ฟ้องในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา พอเรารับรู้ข่าวจากตามสื่อ เราและพี่สาวและเพื่อนๆของพี่สาว ได้ช่วยกันโทรศัพท์ไปยังสำนักงานข่าวต่างๆเพื่อให้ช่วยลบชื่อ และเบลอใบหน้า เพราะขณะนั้นหลายสื่อได้ลงรูปที่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นเรา และมีบางสื่อลงชื่อว่าวีเจโฟร์ เราได้รับความเสียหาย จึงขอความกรุณาไปตามสื่อต่างๆ และทนายที่โทรศัพท์ไปที่สื่อท้องถิ่นของอยุธยา เป็นเพื่อนกับพี่สาว เขาได้โทรให้สื่อดังกล่าวนั้นช่วยเบลอรูป เบลอชื่อ ช่วยลบรูป ลบชื่อ เพราะภาพข่าวต่างๆถูกแชร์ไปยังโลกออนไลน์จำนวนมาก เพื่อนพี่สาวก็เป็นห่วง แต่ไม่ได้ขู่ฟ้องแต่อย่างใด และเพื่อนพี่สาวก็ไไม่ได้แนะนำให้เราฟ้อง มีแต่แนะนำให้เราพูดคุยเพื่อหาข้อยุติ และแถลงความจริงให้สื่อต่างๆรับรู้ ดังนั้นจึงไม่มีการขู่ฟ้องมารดาของฝ่ายชายแต่อย่างใด
- ประเด็นที่ 6 การฝากเราเติมเงินเหตุที่เขาเติมเงินโดยการโอนเงินผ่านบัญชีเรา เพราะถ้าเขาฝากเติมเงินโดยผ่านทางวีเจ เขาจะไม่เสียค่าธรรมเนียมการเติมเงินแต่อย่างใด เขาจึงได้โอนเงินผ่านเข้าบัญชีเราเป็นจำนวนหลายครั้ง รวมกันเป็นเงิน 261,500 บาท และเราก็โอนยอดเงินที่เขาโอนมาในแต่ละครั้ง เข้าบริษัทตลอด ยอดเงินดังกล่าวจะได้ถูกสะสมในแอคเคาท์ของเขา และเขาจะได้ใช้ซื้อของขวัญหรือร่วมกิจกรรมต่างๆของแอพพลิเคชั่นไอโชว์ เงินจำนวนดังกล่าวแค่ผ่านจากเราเพื่อเติมเงินในแอคเคาท์ของตัวฝ่ายชายเองเท่านั้น
- ประเด็นที่ 7 มารดาฝ่ายชายต้องการให้เลิกมารดาฝ่ายชายเคยบังคับให้ฝ่ายชายเลิกกับเรามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เราก็ยังไม่ได้เลิกกัน พอเกิดเรื่องดังกล่าวมารดาฝ่ายชายบังคับให้เลิกติดต่อกัน ถ้าไม่เลิกจะทำให้เราอับอายและเสียชื่อเสียง แต่ข่าวที่ออกไปนั้นกลับกลายเป็นว่าเราทิ้งฝ่ายชาย เพราะไม่มีเงินแล้ว ไม่ยอมติดต่อไม่รับสายทั้งๆที่ฝ่ายชายถูกทำทันบนว่าห้ามติดต่อเราไม่งั้นจะถูกดำเนินคดี เราจึงไม่ได้ติดต่อกัน เพราะไม่อยากให้มารดาเขาจับเขาเข้าคุกเพราะเราก็รักและเป็นห่วงเค้าเหมือนกัน
- ประเด็นที่ 8 เรื่องออกรถเราได้ติดต่อไฟแนนซ์เพื่อทำเรื่องออกรถโดยเราวางเงินดาวน์ จำนวน 4 แสนบาท เงินจำนวนดังกล่าวนั้นนำมาจากเราขายรถคันเก่าได้เงินมา 280,000 บาท ส่วนเงินที่เหลือ จำนวน 120,000 บาท เราได้เอาเงินเก็บส่วนตัวโดยขายทองและเงินพี่สาวเพื่อดาวน์รถดังกล่าว ไม่มีเงินของฝ่ายชายตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ที่ชี้แจงมาทั้งหมดคือเรื่องจริงทั้งหมด มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ขอบคุณค่ะที่เปิดใจรับฟัง"
ขณะเดียวกันทาง พ.ต.อ.สยาม บุญสม รอง ผบก.ปอท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2บก.ปอท.ซึ่งรับผิดชอบดูแลคดีนี้ไปตรวจสอบแอฟพลิเคชันดังกล่าวแล้ว แต่เนื่องจากมีรายละเอียดมากจึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ เบื้องต้นยังไม่พบความผิดอะไรที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนการสอบปากคำนายระพีพัชรยังไม่พบความผิดปกติ เพราะระหว่างที่นายระพีพัชรเข้าไปในแอพฯนี้ ก็รู้ตัวว่าเข้าไปเลยไม่ได้ถูกหลอกให้เข้าไป