ทั้งนี้ นางศิริกานต์ ให้การว่า ตนมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคาร ธกส.สาขาเสนา จำนวน 3 ล้านบาท และได้ใช้จ่ายไปแล้วเหลืออยู่ประมาณ 2 ล้านกว่าบาท ปกติตนจะอยู่กับนายรพีพัชร ลูกคนที่สอง ส่วนลูกอีกสองคนทำงานอยู่ในตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยทุกครั้งเวลาจะกดเงินจากบัตรเอทีเอ็มมาใช้ ก็จะให้นายรพีพัชร เป็นคนกดเงินให้ครั้งละ 3-4 หมื่นบาท เพื่อซื้อของมาขาย และผ่อนค่างวดรถ ซึ่งเบิกไปประมาณ 10 ครั้ง ใช้เงินไปกว่า 4 แสนบาท ที่เหลือก็เก็บเอาไว้ในบัญชี
นางศิริกานต์ กล่าวต่อว่า ทุกครั้งหลังจากกดเงินแล้วลูกชาย ก็ไม่เคยนำสลิปเงินมาให้ตนดูเลย โดยอ้างว่าตู้เอทีเอ็มไม่มีสลิปออกมา เมื่อตนขอให้พาไปตรวจสอบยอดเงินที่ธนาคาร ธกส. นายรพีพัชร ก็จะบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา นายรพีพัฒน์ ได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมานอนค้างที่บ้าน บอกว่าเป็นแฟน เป็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาดี อายุประมาณ 20 ปี บอกว่าทำงานเป็นวีเจ หรือคนที่พูดในอินเตอร์เน็ต จากนั้นทั้งสองคนก็หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. จึงให้ลูกชายคนโตไปช่วยกดเอทีเอ็มให้ เพื่อนำเงินมาใช้ในช่วงเข้าพรรษา
"พอลูกคนโตไปกดเงิน ปรากฏว่ากดไม่ได้ เนื่องจากจำนวนเงินที่เบิกในวันนั้นเกินจำนวนครั้ง จึงได้ไปตรวจสอบที่ธนาคาร ธกส.เสนา ถึงรู้ว่าเงินถูกโอนผ่านบัตรเอทีเอ็มไปเกือบ 1.2 ล้านบาท จึงให้ลูกคนโตตรวจสอบก็รู้ว่านายรพีพัชร เข้าไปสมัครเล่นแอปพลิเคชั่นไอโชว์ ซึ่งเป็นแอปที่มีสาวๆ นั่งพูดคุยสด จนไปถูกใจวีเจโฟร์ที่พามานอนบ้าน ถึงกับโอนเงินซื้อของขวัญซึ่งเป็นไอคอนในแอปให้กับหญิงสาวทุกวันๆ ละหลายครั้งๆ ละ 1-3 หมื่นบาท บางวัน 6 หมื่นบาท จนถึงวันที่ 16 ก.ค. ก่อนที่วีเจสาวจะมานอนค้างที่บ้านแล้วหายตัวไปด้วยกัน" นางศิริกานต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ่เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งความเอาไว้ และจะติดตามตัวนายรพีพัชร มาสอบสวนดำเนินคดีข้อหา ลักทรัพย์มารดาต่อไป