พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า คดีนี้คนร้ายแสดงท่าทางสอดคล้องกับคำรับสารภาพและสอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหาย จึงยืนยันว่าตำรวจจับกุมได้ถูกต้อง โดยขอขอบคุณตำรวจที่ทำงาน 2 สัปดาห์ คดีนี้ต้องรีบจับกุมให้ได้เพราะชาวบ้านอาจหวาดกลัว เรื่องแบบนี้ต้องไม่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ สำหรับคนร้ายหลังก่อเหตุได้หลบหนีไปอยู่กับญาติที่ย่านบางนา สำโรงเหนือ และบางซื่อ แล้วออกไปพักโรงแรม ไปอยู่ตามที่สาธารณะ ครั้งสุดท้ายไปอยู่ที่หลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ แถวสนามหลวง เขตพระนคร กทม. เจ้าหน้าที่จับกุมได้ขณะโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะด้านหลังโรงแรมดังกล่าว
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า คนร้ายรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริง เดิมมีภูมิลำเนาอยู่อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป จึงต้องตระเวนไปตามที่ต่างๆ ในครั้งนี้มาย่านบางนาและมาเข้าห้องน้ำที่เกิดเหตุได้เห็นเหยื่อมาเข้าห้องน้ำด้วยพอดี จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ ส่วนทองที่ชิงมาได้เอาไปจำนำย่านสำโรง จ.สมุทรปราการ ไม่พบประวัติก่อเหตุอาชญากร พบเพียงประวัติยาเสพติดหลายครั้ง เคยถูกจับมา 4 ครั้ง ในคดีครอบครองยาเสพติด ในพื้นที่บางพลี สำโรงเหนือ สำโรงใต้ จ.สมุทรปราการ และในพื้นที่สน.ประเวศ ตั้งแต่ปี 55-57 เคยทำงานขายตัวให้กับกลุ่มนิยมชายรักชาย
พล.ต.ท. กล่าวอีกว่า คดีนี้ตำรวจแจ้ง 2 ข้อหาคือข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี ปรับตั้งแต่ 8,000-40,000 บาทและข้อหาชิงทรัพย์มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี อีกทั้งตนยังมั่นใจในหลักฐานที่รอผลการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อไม่ให้ประชาชนหวาดกลัวการใช้ห้องน้ำสาธารณะจึงให้ 250 ป้อมจราจรเป็นโครงการห้องน้ำ ตำรวจนครบาลเพื่อประชาชน ตนได้สั่งการให้ตู้ยาม ตู้จราจรให้สามารถเข้าห้องน้ำได้ ไม่ต้องเกรงใจตำรวจ เป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยเหลือประชาชน นอกจากนี้จะทำหนังสือถึงผู้ประกอบการห้องน้ำสาธารณะด้วย เพราะห้องน้ำรวมอาจเป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมเกิดขึ้นได้