นายปัญญา เปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อจากนายดากานดา ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ จ.อุทัยธานี ให้ส่งนางงามในสังกัดเข้าร่วมประกวดโดยอ้างว่า นางงามทุกคนที่เข้าร่วมประกวดจะได้รับเงินรางวัลคนละ 10,000 บาทและถ้าได้รางวัลชนะเลิศที่1 จะได้เงินรางวัล 100,000 บาท ตนเองจึงส่งนางงามในสังกัดเข้าร่วมประกวดจำนวน 7 คน โดยมีค่าสมัครคนละ 500 บาท นอกจากนั้นขณะที่ทำการประกวดยังเสียค่าใช้จ่ายอื่นอีก เช่น ค่าชุดว่ายน้ำคนละ 800 บาท ค่าชุดราตรีคนละ 4,000 บาท
ซึ่งตนเองมารู้ทีหลังว่าชุดดังกล่าวเป็นของสปอนเซอร์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อการประกวดเสร็จสิ้นลง ตนเองและนางงามได้ติดตามทวงถามถึงเงินดังกล่าวที่จะได้รับ แต่กลับถูกนายดากานดาปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด วันนี้ตนจึงอยากออกมาเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวให้สังคมได้รับรู้เป็นอุทาหรณ์และไม่อยากให้ใครต้องตกเป็นเหยื่อถูกนายดากานดาหลอกเหมือนตนเอง
ด้านนายธรรค์ เปิดเผยว่า ตนเองได้รับการติดต่อจากนายดากานดา ให้จัดทำวีดีโอโปรดักชั่นในการประกวดดังกล่าว ซึ่งตนเองและทีมงานได้ดำเนินการมาตลอด จนการประกวดเสร็จสิ้นลง จึงได้สอบถามถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เป็นมูลค่ากว่า 52,200 บาท แต่ทางนายดากานดาปฏิเสธ โดยอ้างว่าทางกองประกวดได้ปลดนายดากานดาออกจากการเป็นผู้จัดการประกวดของจังหวัดอุทัยธานีแล้วเลยไม่มีเงินมาจ่าย
เมื่อตนเองสอบถามกลับไปยังบริษัทที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ที่นายดากานดาได้ไปซื้อลิขสิทธิ์มา ทำให้ทราบว่าทางต้นสังกัดได้ปลดนายดากานดาออกจากการเป็นผู้จัดการประกวดแล้ว แต่การปลดดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากวันที่การประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ จ.อุทัยธานี ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพราะได้จัดงานและได้รับเงินจากผู้สนับสนุนมาแล้ว แต่นายดากานดากลับไม่รับผิดชอบและปฏิเสธ จึงฝากเตือนไปยังประชาชนทั่วไปให้ระมัดระวังในการร่วมงานกับบุคคลดังกล่าว และฝากถึงกองประกวดเจ้าของลิขสิทธิ์ ควรตรวจสอบและคัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาซื้อสิทธิ์ในการประกวด เพราะอาจจะส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของกองประกวดเอง
อย่างไรก็ตามภายหลังจากแถลงข่าวเปิดใจเสร็จสิ้นลง ทางนายปัญญาจะพานางงามในสังกัด ที่ได้เข้าร่วมประกวดครั้งนี้ไปแจ้งความที่สน.สุทธิสารต่อไป