หญิงสาวที่เข้ามาค้าประเวณีตามสถานอาบอบนวดส่วนใหญ่มาจากประเทศพม่า มักเป็นชนกลุ่มน้อยในเขตอิทธิพลของโกกัง เมืองลา กับเมืองทุม ซึ่งส่วนมากเป็นชนเผ่าไทยใหญ่ ซึ่งถือว่ามีหน้าตาดีเป็นที่ต้องการของลูกค้า โดยผ่านเข้าประเทศไทยทางด่านชายแดนภาคเหนือ จากนั้นทำหนังสือเดินทางข้ามแดนเป็นนักท่องเที่ยวถูกกฏหมาย ซึ่งขั้นตอนนี้จะรู้กันระหว่างนายหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นนายหน้าจะพาหญิงสาวไปส่งถึงกรุงเทพ และรับเงินจากสถานบริการในฐานะตัวกลางหาหญิงสาวเข้ามาอยู่ในสังกัด ตรงข้ามกับ
ก่อนหน้านี้ที่นายหน้าจะขอเงินจากกลุ่มที่อยากเข้ามาทำงานหรือเข้าไปหลอกพ่อแม่ของเด็กว่าพามาทำงาน เมื่อเข้ามาแล้วสถานบริการจะอบรมและฝึกหญิงสาวก่อนให้ไปนั่งรับแขก ขณะเดียวกันหากหญิงสาวที่ทำงานมาระยะหนึ่งต้องการเสริมสวยหรือทำศัลยกรรมเพิ่ม เจ้าของสถานอาบอบนวดจะสำรองเงินให้ก่อนและจะหักเงินจากค่าบริการใช้หนี้จนกว่าจะหมด จุดนี้เองที่หญิงสาวไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้
ในขณะที่สาวชาวลาวจะเข้ามาค้าประเวณี มักจะแฝงตัวอยู่ตามร้านคาราโอเกะ ทั้งเขตกรุงเทพและภาคตะวันออก โดยมีนายหน้าไปรับจากเมืองชายแดนที่ติดกับลาว เช่นจังหวัดหนองคาย หรือมุกดาหารเป็นต้น หญิงลาวส่วนใหญ่ที่ข้ามเข้ามาจะมมาจากครอบครัวยากจนตามเมืองเล็กๆ เกือบทั่วประเทศ บางส่วนมาหากินในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-ลาว บางส่วนติดต่อผ่านนายหน้าเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ โดยทำหนังสือผ่านแดนและหลบหนีเข้ากรุงเทพ จากนั้นเจ้าของร้านฯ จะจัดหาที่พักและให้ยืมเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอาง ทำให้บรรดาสาวๆ เหล่านี้กลายเป็นหนี้คล้ายกับสถานอาบอบนวดเช่นกัน
แหล่งข่าวให้ข้อมูลกับ PRIMETIME ว่า จะมีการจ่ายเงินให้กับตำรวจหลายหน่วยทั้ง สตม. ,กองปราบ ,ตำรวจท้องที่ ,หน่วยงานด้านการสืบสวน ,ตำรวจท่องเที่ยว แตกต่างกันไป โดยใช้วิธีการเหมาจ่ายเป็นรายเดือน หากสถานอาบอบนวดขนาดใหญ่จะมียอดเหมาจ่ายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงกทม. ที่ดูแลเรื่องอาคารสถานที่เดือนละกว่า 1 แสนบาทนอกจากนี้สถานบริการยังต้องมีงบพิเศษเพื่อเลี้ยงรับรองเจ้าหน้าที่ด้วย แต่ละเดือนจะมียอดเงินจากส่วยของกลุ่มสถานบริการสะพัดนับสิบล้านบาท